กทม. 16 มี.ค.-ตร.เร่งล่ามือปืน หลังถูกออกหมายจับในคดียิงหน้าร้านเหล้า ย่านปิ่นเกล้า มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 3 คน จากชนวนเหตุ ชนแก้วแย่งหญิงกันในร้านเหล้า ล่าสุดพบเบาะแส หลบหนีออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว
ตามต่อกันคดีกลุ่มวัยรุ่น กราดยิงหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ย่านปิ่นเกล้า มีผู้เสียชีวิต 1 คน ได้รับบาดเจ็บ อีก 2 คน จากชนวนเหตุชนแก้วแย่งหญิงกันในร้านเหล้า พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. เปิดเผยความคืบหน้าว่า จากการสืบสวนพบว่าวันเกิดเหตุ กลุ่มผู้ก่อเหตุมามาที่ร้านดังกล่าวกับกลุ่มผู้หญิงแต่นั่งแยกกันคนกันละโต๊ะ ส่วนกลุ่มผู้เสียชีวิตมากับเพื่อน 3 คนนั่งดื่มกัน ในร้านดังกล่าวเช่นกัน โดยระหว่างที่นั่งดื่ม ผู้เสียชีวิต ยกแก้วทำทีจะขอชนกับผู้หญิงที่มากับกลุ่มผู้ก่อเหตุ และมีการเขม่นกัน จนมีปากเสียงทะเลาะกัน จนการ์ดร้านมาห้ามและแยกจนจะกลับบ้าน ทั้ง 2 กลุ่มก็ยังมาทะเลาะกันด้านนอกร้าน ผู้ก่อเหตุจึงไปหยิบปืนที่อยู่ในรถยนต์มายิงจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จากนั้นผู้ก่อเหตุขึ้นรถเบนซ์หลบหนีไปพร้อมกับเพื่อนอีก 2 โดยผู้ก่อเหตุกลับบ้านไปและให้เพื่อนขับรถเบนซ์วนไปวนมา ก่อนไปจอดไว้ที่บ้านพ่อตาของกลุ่มเพื่อนที่ จ.สมุทรสงคราม
ทั้งนี้เหตุดังกล่าว มีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพขณะเกิดเหตุได้ โดยเป็นภาพนาทีที่ นายอธิภัทร ธรรมบุตร ใช้อาวุธปืนพก ยิงบริเวณหน้าร้านเหล้าชื่อดังย่านปิ่นเกล้า เมื่อกลางดึก ทำให้นายธนู หรือตี๋ อายุ 29 ปี ซึ่งจากภาพขณะโดนยิง นายธนู ยังพยายามวิ่งหลบหนี จนพ้นมุมกล้องไป แต่สุดท้ายเสียชีวิต ขณะที่กลุ่มเพื่อนของนายธนู ยังถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีก 3 คน
หลังก่อเหตุ นายอธิภัทร ได้วิ่งหลบหนีไปขึ้นรถพร้อมเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดอีกมุม ที่ตั้งอยู่หน้าร้านกาแฟ หน้าห้างที่เกิดเหตุ พบว่าขณะเกิดเหตุมีลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟตกใจ คาดว่าอาจได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากภายในห้าง จนพากันวิ่งหลบหนี จากนั้นไม่นาน มีรถยนต์ 2 คัน โตโยต้า ยาริส และเบนซ์ 5 ประตู ซึ่งคาดว่าเป็นรถคนร้าย ขับออกมาจากห้างด้วยความรวดเร็ว
ล่าสุด ศาลอาญาตลิ่งชัน ออกหมายจับนายอธิภัทร อายุ 23 ปี ผู้ก่อเหตุในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น ครอบครองปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาปืนติดตัว โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจสอบประวัติ พบว่ามีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดปี 2567 อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีการออกหมายจับไว้หรือยัง หรือมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วหรือไม่ และพบประวัติเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่สน.บางขุนเทียนเมื่อ ปี 2566 ขณะที่การตรวจสอบร้านดังกล่าวพบว่า ไม่มีใบอนุญาตและมีการจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กำหนด จึงสั่งให้ดำเนินคดีกับร้านดังกล่าวแล้วด้วย
มีรายงานว่า จากการตรวจสอบทราบว่า ขณะนี้ผู้ต้องหาหลบหนีออกจากพื้นที่กรุงเทพฯ ไปยังพื้นที่ย่านปริมณฑล ซึ่งอยู่ระหว่างการเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี คาดว่าจะได้ตัวเร็วๆ นี้
ขณะที่ สน.บางยี่ขัน ตำรวจนำรถยนต์ต้องสงสัย ยื่ห้อ Mercedes Benz สีดำ 5 ประตู มาให้กองพิสูจน์หลักฐาน เก็บร่องรอยทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งชุดสืบสวนตามแกะรอยจนพบว่ารถคันดังกล่าว ถูกนำไปจอดทิ้งไว้ริมถนน ต.จอมปลวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม โดยจากการสืบสวนพบว่า ขณะที่นำรถคันดังกล่าวไปจอดทิ้งไว้ มีคนนั่งอยู่ด้วย 2 คน ซึ่งมีรายงานว่า ล่าสุดทั้ง 2 คนอยู่ในระหว่างให้ข้อมูลกับตำรวจที่ สน.บางยี่ขัน ส่วน โตโยต้า ยาริส สีดำ ที่ขับหนีไปพร้อมกัน อยู่ในระหว่างการสืบสวนติดตามรถคันดังกล่าว
ส่วนที่มีข่าวว่า พบรถ Mercedes Benz รุ่นเดียวกันและป้ายทะเบียนเลขเดียวกันที่ จ.สิงห์บุรีนั้น ตร.ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า รถ Mercedes Benz ที่พบที่จังหวัดสิงห์บุรี เป็นรถที่ถูกต้อง แผ่นป้ายทะเบียนตรงกับเลขคัสซีรถและพบว่ารถคันที่พบที่ จ.สิงห์บุรี นั้น ซื้อขายอย่างถูกต้อง โดยมีเต็นท์รถเป็นเจ้าของ
ส่วนความเคลื่อนไหว ที่ สน.บางยี่ขัน ตลอดทั้งวัน มี นายวรุฒ หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงบริเวณขาซ้ายจากเหตุ ยิงกัน ได้มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน พร้อมเปิดเผยว่า คืนนั้นตนไปเที่ยวกับเพื่อนเพียงแค่ 2 คนและเป็นการมาเที่ยวที่นี่เป็นครั้งแรก ช่วงก่อนที่สถานบันเทิงจะปิด ตนได้เดินออกมาเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินมาถึงก็เห็นว่า ผู้คนจำนวนมากมายืนออบริเวณหน้าสถานบันเทิงเพราะปิดทำการแล้ว ด้วยความสงสัยจึงพยายามที่จะเดินไปสอบถามเพื่อน แต่ปรากฎว่าได้ยินเสียงลั่นไกปืนดังถึง 5 นัด ตนกับเพื่อนจึงรีบวิ่งไปหลบ สุดท้ายมารู้ตัวอีกทีคือ ตนถูกยิงที่ขาซ้าย หลังจากนี้ตนก็คงไม่กล้ากลับไปที่สถานบันเทิงดังกล่าวอีกแล้ว
ขณะที่หญิงสาวตนเรื่อง จนทำให้เกิดเหตุบางปลาย ในครั้งนี้ ได้เดินทางพร้อมกับเพื่อนสาว เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 5 ชั่วโมง จากนั้นทั้งคู่รีบเดินทางออกจาก สน.บางยี่ขันทันที โดยได้พยายามรีบวิ่งมาขึ้นรถยนต์ที่จอดด้านข้าง สน. โดยไม่พูดคุยใดๆ กับสื่อมวลชน ที่พยายาม สอบถามข้อเท็จจริง ของเหตุการณ์ในคืนนั้น ก่อนที่จะขับรถออกไปทันที.-สำนักข่าวไทย