สตช. 19 ต.ค. – ผบ.ตร.สั่งการด่วนตรวจสอบกรณีผู้เสียหายแจ้งความแต่ถูกสลับข้อมูลเป็นผู้ต้องหาให้เร่งแก้ไขให้ถูกต้อง-เยียวยาความเสียหาย
พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) กล่าวถึงกรณีที่นายปัญญา อายุ 48 ปี ผู้เสียหายที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาจากกรณีที่เป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทแห่งหนึ่งเข้าแจ้งความที่สำนักงานตำรวจภูธร (สภ.) บางปะอิน ในคดีลักทรัพย์ เมื่อปี 2564 แต่จากเหตุการณ์นั้นเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ของนายปัญญา ถูกระบุในส่วนผู้ต้องหาแทนที่จะเป็นผู้เสียหายจนทำให้นายปัญญา ไม่สามารถสมัครเข้าทำงานที่ใหม่ได้และมีประวัติอาชญากรติดตัว ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้ครบทุกมิติ ในเรื่องความบกพร่องของการคีย์ข้อมูลพนักงานบริษัท จนทำให้ถูกไล่ออก ในเรื่องนี้ตำรวจต้องเข้าไปช่วยเหลือเยียวยา ปรับแก้ข้อมูลให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงโดยด่วน และระวังไม่ให้เกิดเหตุเช่นเดิมซ้ำอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวหรือไม่ พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า ต้องมีการตรวจสอบว่ามีเจตนาอย่างไร หรือเป็นความผิดพลาดของตัวเจ้าหน้าที่เองต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนว่าข้อเท็จจริงสุดท้ายเป็นอย่างไร ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบ เพราะข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในกองทะเบียนประวัติอาชญากร หรือ ทว.ต้องไปดูว่ามีการนำเข้าข้อมูลมาจากแหล่งไหน
เมื่อถามว่าอาจจะมีคดีอื่นที่เจ้าของคดีดำเนินการผิดพลาดและไม่ได้ดำเนินการแก้ไขต่อ หรือบางคดีที่คดีจบไปแล้วแต่เจ้าของคดีไม่ได้ยื่นเรื่องแก้ไข จะต้องทำอย่างไร พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่ทั้งเรื่องของผลคดี กับการลบประวัติเพื่อคืนความถูกต้องให้กับประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องเร่งเชื่อมโยงข้อมูลให้เรียบร้อยไม่ให้กระทบกับสิทธิประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการเข้าไปทำงาน และเป็นการรักษาเกียรติยศชื่อเสียง. -สำนักข่าวไทย