15 ส.ค. – “ชูวิทย์” ฟ้อง “เศรษฐา” และทนายวิญญัติ ใน 3 ข้อหา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 90,000 บาท ก่อนเดินทางไปยื่นสอบมรรยาททนายความ ขณะที่จะเดินหน้า นำหลักฐานให้ “บิ๊กโจ๊ก” เพื่อเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดและทุกคนมาสอบ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมาที่ศาลอาญารัชดา เพื่อยื่นคำฟ้องเอาผิด นายเศรษฐา ทวีสิน และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ในข้อหาฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเรียกค่าเสียหาย 9 หมื่นบาท ในกรณีที่นายเศรษฐา ส่งนายวิญญัติ มายื่นฟ้องตนเองที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหากรณีหลีกเลี่ยงภาษีซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน และขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูลในครั้งนั้น และเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท
นายชูวิทย์ กล่าวว่าการที่ตนเองมายื่นฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อหน้าศาล เมื่อฟ้องมาตนเองก็จะฟ้องกลับ เพราะเมื่อนายเศรษฐา ลงชื่อจะเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี และในฐานนะตนเองเป็นประชาชนก็มีสิทธิ์ตรวจสอบได้ทุกประการ ทั้งเรื่องที่ดินสารสิน 12 คน โอน 12 วัน ที่ดินที่ทองหล่อซอย 12 ล่าสุดที่ตนแฉไป
นายชูวิทย์ ยังบอกอีกว่า อย่าคิดว่าตนเองจะกลัว เพราะตนเองจะไปยื่นฟ้องที่สภาทนายความให้ตรวจสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติ ในกรณีที่เปิดเผย พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งตนมองว่า นายวิญญัติ อาจจะเล่นการเมืองเกินไปจนไม่รู้ข้อกฎหมาย
ส่วนเงินที่ตนเองเรียกไปจำนวนเพียง 9 หมื่นบาท นั้นมาจากจำนวนเงินวันละ 1 หมื่นบาท นับตั้งแต่ที่ นายวิญญัติ มายื่นฟ้องตนเมื่อวันที่ 7 สิหาคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม จำนวน 9 วัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้อยากได้เงิน แต่ต้องการเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ทางฝั่งนายเศรษฐา กลับเรียกเงินจากตนเองจำนวนถึง 500 ล้านบาท และนายชูวิทย์ ยังมั่นใจว่าการยื่นฟ้องในครั้งนี้ศาลจะรับคำฟ้องแน่นอนเพราะหลักฐานที่มีมันชัดเจน อีกทั้งที่ผ่านมาตนเองเคยฟ้อง ทนายษิทรา และ นายสันธนะ มาแล้ว ซึ่งศาลท่านก็รับฟ้องทั้งหมด
ขณะพรุ่งนี้ (17 ส.ค.) เวลา 10.00 น. นายชูวิทย์ จะเดินทางไป พบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลหลักฐานไปให้และต้องการให้บิ๊กโจ๊ก เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งตัวละครที่เป็นแม่บ้าน เป็น รปภ. เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และนอมีนีทุกคนมาสอบปากคำ เพื่อให้ความจริงกระจ่าง เพราะถือว่าพฤติกรรมของนายเศรษฐา เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่ง และเชื่อว่าพฤติกรรมร้ายกาจแบบนี้ถ้าไม่ใช่ผมก็คงไม่มีใครกล้าออกมาแฉ และจากนั้นก็จะเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้สอบสวน บริษัท แสนสิริ ว่ามีการทำสัญญาซื้อขาย กู้ รวมถึงรายรับรายจ่ายทั้งหมดของบริษัท เพราะก็ถือว่าตนเองก็เป็น 1 ในผู้เสียหาย เนื่องจากตนเองก็ถือหุ้นแสนสิริ เช่นกัน จำนวน 2 หมื่นหุ้น ซึ่งตนเองก็ถือหุ้นมานานแล้ว เพราะหุ้นแสนสิริก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
นายชูวิทย์ บอกว่าตัวเองขำ พราะว่าเมื่อวานนี้มีการแฉ EP.2 ซึ่งเป็นการขุดหลุมพรางไว้ ซึ่งบริษัทแสนสิริ ก็ตกหลุมพรางในทันที โดยการแถลงข่าวตอบโต้ บอกว่าไม่รู้เรื่อง และหากจำได้ตนแฉเอกสารที่เป็นสัญญาจำนองที่ดิน พร้อมตั้งคำถามว่า หากบริษัทจะซื้อที่ก็ซื้อไปเลยทำไมต้องทำสัญญาจำนอง พร้อมถามว่าคนที่ไปซื้อคิดได้ยังไงจะซื้อที่แต่ไปทำสัญญาจำนองก่อน แล้วค่อยครอบสัญญาจำนองโดยสัญญาจะซื้อจะขาย
จากนั้นนายชูวิทย์ ได้โชว์สัญญาจำนอง บ.อักษรย่อ N และบริษัท อักษรย่อ อ. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ หุ้น 99.99% พร้อมจำนวนเงิน 1 พันล้าน พร้อมถามย้ำว่าทำไมถึงทำสัญญาจำนองก่อนค่อยทำสัญญาซื้อขายในเวลาต่อมา นั่นเพราะว่า คุณจ่ายเงิน 1 พันล้านบาท ให้กับนอมินี และเอา 1 พันล้าน บวกค่าที่หายไปแล้วค่อยไปซื้อ ซึ่งตนมองว่าตรงนี้มันแปลกและอยากรู้ว่าทำแบบนี้ไปทำไม พร้อมถามอีกว่าแล้วเงินทอน 435 ล้านบาท ไปไหน
นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า เจ้าของลายเซ็นในสัญญาจำนองนาย ส. ที่เป็น รปภ.เป็นคนเซ็น ซึ่งมีหุ้น 1 หุ้น ต่อมานาย ส.ขายทิ้ง ก่อนที่จะเอานาย ย. มาแทน ก่อนที่จะปล่อยบริษัททิ้งร้างโดยไม่ส่งงบฯ ต่อกัน 5 ปี
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐา จะขึ้นเป็นนายกฯ การกระทำพฤติการณ์ซ่อนเร้นแบบนี้ พ่อค้าอย่างตนรู้เช่นเห็นชาติดี ซึ่งกล้ามาฟ้องตน ตนก็กล้าฟ้องกลับ แลกกันหมัดต่อหมัดที่ศาล ยืนยันมีพยานหลักฐานครบถ้วน พร้อมกันนี้ยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้พูดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน อีกอย่างการเป็นบริษัทมหาชน ต้องมีธรรมาภิบาลโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่คุณกลับให้แม่บ้านและ รปภ. มากู้ แล้วเหตุใดตอนชี้แจงทำไมไม่ชี้แจงประเด็นนี้ ซึ่งเจ้าของเก่าคือหมอ น. ซึ่งอยู่ รพ.บำรุงราษฎร์ ให้ไปถามหรือว่าเจ้าของดั้งเดิมคนนี้คุยกับใครในการขาย แม่บ้านหรือ รปภ.เหรอ
จากนั้นนายชูวิทย์ ยกบอร์ดขึ้นมาให้ไปตามหาบุคคลคน ๆ หนึ่ง ชื่อนาง ว. ที่ถือหุ้น 33.33% ของ บริษัทรักษาความปลอดภัย อักษรย่อ พ. ว่าคน ๆ นี้เป็นพี่สาวของใคร ยังเชื่อว่าแม้ว่าจะมีการโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็จะอยู่ไม่ถึง 3 เดือน เพราะจากหลักฐานที่เปิดโปงนั้น แสดงให้เห็นพฤติกรรมของนายเศรษฐา
ส่วนที่ นายเศรษฐา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า นายชูวิทย์ บิดเบือนข้อมูล นายชูวิทย์ได้ถามกลับไปว่าตนเองบิดเบือนตรงไหน และถามกลับว่าที่ปล่อยเงินกู้ 1 พันล้านบาท ให้แม่บ้านและ รปภ. ไม่เคยเจอตัวกันเลยหรอ ไม่เคยอยากรู้เหรอว่าเขาทำอาชีพอะไร ทำงานอะไรที่ไหนถึงปล่อยเงินกู้ไปตั้ง 1 พันล้านบาท และนายชูวิทย์ยังฝากไปถึงแม่บ้าน เชื่อว่าจะต้องมีการได้ส่วนแบ่งไม่มากก็น้อยแต่อาจจะได้ไม่เยอะ และบอกอีกว่า แม่บ้านจะต้องเลือกว่าจะเป็นพยานหรือเป็นผู้ต้องหา แต่กรณีนี้เพราะเชื่อว่าแม่บ้านดังกล่าวมีคนไปบอกให้เงียบ และบอกไปว่าไม่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นอย่างงั้นจะถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จ และยังบอกอีกว่า พฤติกรรมของเศรษฐาที่ปล่อยกู้ให้กับแม่บ้านและ รปภ. ถึง 1 พันล้านบาท ยังไม่เป็นที่กับที่น่าสงสัยอีกหรอ
เมื่อถามว่าการโหวตนายกฯ จะราบรื่นหรือไม่ เนื่องจากว่าพรรคเพื่อไทยยังคงยืนยันว่าจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ชิงตำแหน่งนายกฯ นายชูวิทย์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยถามคุณทักษิณแล้วหรือยัง เพราะเมื่อเช้ามีคนรายงานไปให้คุณทักษิณทราบแล้วว่าเรื่องราวเป็นแบบนี้ “ท่านๆ เป็นเหมือนท่านเด๊ะเลย ตอนท่านนั้นซุกหุ้นให้กับคนขับรถและแม่บ้าน ส่วนกรณีนี้ก็ให้มัดจำซื้อขายมูลค่า 1,000 ล้านบาท กับแม่บ้านและ รปภ. จะทำยังไงดี”
เมื่อถามถึง รปภ. คือ นาย ส. หากไปสืบค้นดู เคยเป็นกรรมการบริษัทรับเหมาก่อสร้างหลายแห่ง แสดงว่ามีกระบวนการแบบนี้ในภาคธุรกิจใช่หรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า มีมากกว่านั้น ซึ่งนาย ส. มีชื่อเป็นกรรมการอีก 4 บริษัท ล้วนเกี่ยวกับ บริษัทแสนสิริทั้งสิ้น ให้ไปขุดดูเลย ร่องรอยเห็นหมดโดยเฉพาะร่องรอยทางบัญชี เห็นหมดโกหกกันไม่ได้
ช่วงท้ายนายชูวิทย์ บอกว่า ยังไม่จบแค่นี้ EP.หน้า ตนจะแฉต่อ ซึ่งเป็นที่ดินที่ตั้งที่ สุขุมวิท 12 (ศิวแลนด์) ขณะเดียวกันหลังจากที่ยื่นฟ้องที่ศาลอาญา นายชูวิทย์ ยังเดินทางมาที่สภาทนายความเพื่อยื่นสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติอีกด้วย
ขณะเดียวกันหลังจากที่ยื่นฟ้องที่ศาลอาญานายชูวิทย์ ยังเดินทางมาที่สภาทนายความเพื่อยื่นสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติอีกด้วย และได้พูดสั้นๆ ถึงนายวิญญัติ ว่า หากจะเล่นการเมืองก็เล่นไป การมีอาชีพเป็นนักการเมืองถือเป็นอาสาสมัครจะทำงานเพื่อประเทศชาติไม่มีใครว่า แต่เมื่อเป็นนักการเมืองด้วยและเป็นทนายความ จะต้องถูกกำกับด้วยมรรยาททนายความ จะไปพูดจาเลอะเทอะก้าวล่วงผู้อื่นไม่ได้ และถามไปถึงนายวิญญัติ ว่าไม่รู้กฎหมายเลยเหรอว่ามี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล. -สำนักข่าวไทย