ภูเก็ต 15 ส.ค. – รองอธิบดีดีเอสไอ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รับปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติสวนป่าบางขนุน เป็นคดีพิเศษทั้งแปลง กว่า 3,000 ไร่
นายปิยะ รักสกุล รองอธิบดี DSI ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ติดตามปัญหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติสวนป่าบางขนุน อำเภอถลาง โดยพื้นที่แห่งนี้กรมป่าไม้อนุญาตให้กองทัพเรือเข้าใช้ประโยชน์กว่า 3,763 ไร่ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยทัพเรือภาคที่ 3 มีแผนใช้พื้นที่จำนวน 486 ไร่ ก่อสร้างเป็นหน่วยต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง แต่พบว่าจนถึงปัจจุบันยังคงมีกลุ่มผู้บุกรุกบางส่วนเข้าไปแผ้วถาง มีการรังวัด และปักหมุดหมายเพื่อแสดงอาณาเขตการครอบครองอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการนำป้ายไปปักห้ามกระทำความผิดไว้แล้วก็ตาม
วันนี้ พลเรือโท อาภากร อยู่คงแก้ว ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ได้มอบเอกสารซึ่งเป็นข้อมูลของกลุ่มผู้บุกรุก ที่มีความเกี่ยวข้องกับนายทุน ให้กับรองอธิบดี DSI เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีด้วย ยืนยันว่าหากพิสูจน์สิทธิ์แล้วพบว่าเป็นกลุ่มผู้ยากจนไม่มีที่ดินทำกิน ก็จะผ่อนปรนให้อยู่อาศัยและทำกินได้ แต่หากพบว่าเป็นกลุ่มนายทุน ก็ต้องให้ DSI เข้ามาดำเนินการว่าเข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินหรือไม่
รองอธิบดี DSI ระบุว่า เดิมที DSI รับไว้เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะในแปลงที่กรมป่าไม้อนุญาตให้วิทยาลัยเทคนิคถลางเข้าใช้ประโยชน์ราว 142 ไร่ แต่พบว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลบางคนเข้าไปบุกรุก กระทั่งวิทยาลัยร้องไปยัง DSI ขอให้เข้าช่วยเหลือและตรวจสอบ เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย ซึ่ง DSI อยู่ระหว่างเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาสอบสวน
ส่วนพื้นที่ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้กองทัพเรือนี้ แทบทั้งหมดมีการบุกรุกเข้ามาทำประโยชน์ ดีเอสไอจึงรับเรื่องนี้ไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว โดยหลังจากนี้จะมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานรัฐ และกลุ่มผู้บุกรุกเข้ามาตรวจสอบชี้แจง ยืนยันว่า DSI จะเปิดกว้างให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ชี้แจง ซึ่งต้องว่ากันไปตามหลักฐานและว่ากันไปตามกฎหมาย
สำหรับป่าสงวนแห่งชาติสวนป่าบางขนุน ถือเป็นป่าโบราณผืนใหญ่ผืนสุดท้ายที่มีลักษณะเป็นป่าพื้นราบที่เหลืออยู่ในจังหวัดภูเก็ต โดยถูกประกาศให้เป็นป่าคุ้มครองตั้งแต่ปี 2481 หลังจากนั้นในปี 2507 จึงถูกประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งอดีตเคยเป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากมีเนื้อที่รวมกันเกือบ 5,000 ไร่
ข้อมูลจากกรมป่าไม้ระบุว่า ปัจจุบันมีการซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนผืนนี้ไปแล้วถึง 85 แปลง เนื้อที่ราว 735 ไร่ และยังพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่จนทำให้เหลือพื้นที่ป่าสมบูรณ์ไม่ถึง 700 ไร่ โดยในเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้กองทัพเรือเข้าใช้ประโยชน์เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่าป่าเกือบทั้งผืน รวมไปถึงป่าต้นน้ำ กลายเป็นพื้นที่ที่มีการเข้ามาบุกรุกแผ้วถางและทำประโยชน์ไปแล้วทั้งจากชาวบ้านและนายทุน จนทำให้เกิดเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้บุกรุกที่อ้างสิทธิ์การอยู่มาก่อน กับกองทัพเรือที่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้เข้าใช้ประโยชน์อยู่ในขณะนี้. – สำนักข่าวไทย