กรุงเทพฯ 12 ส.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบซ้ำผู้บริหารบริษัทหลอกร่วมลงทุนนำเข้าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแม่เหล็ก มูลค่าความเสียหาย 26 ล้านบาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) จับกุมนายวิชาญ อายุ 70 ปี ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจนิติบุคคล และในฐานะส่วนตัวตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2494/2565 และ 2495/2565 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 และนายธีวรา อายุ 27 ปี ปี ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจนิติบุคคล และในฐานะส่วนตัวตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2496/2565 และ 2497/2565 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
จับกุมบริเวณบ้านพัก ในพื้นที่ ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ดำเนินคดีกับสองบริษัทฯ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีพฤติการณ์ ฉ้อโกงประชาชน ผ่านรูปแบบการโฆษณาชักชวนประชาชนจำนวนมากให้เข้าร่วมลงทุนโดยอ้างว่า ดำเนินกิจการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแม่เหล็ก มีการนำชิ้นส่วนนำเข้าเพื่อประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแม่เหล็กจากต่างประเทศ มีลูกค้าร่วมกิจการเป็นจำนวนมาก และกำลังขยายกิจการของบริษัทฯ โดยมีแผนการที่จะสร้างโรงงานผลิตสินค้าขนาดใหญ่ หากมีผู้สนใจลงทุนจะได้รับผลตอบแทน ร้อยละ 5 ของยอดเงินที่ลงทุนต่อสัปดาห์ หากแนะนำบุคคลอื่นมาร่วมลงทุนด้วย จะได้ผลตอบแทนอีกร้อยละ 1 ของยอดเงินลงทุนของบุคคลที่ชักชวนมาได้ ประกอบกับใช้ความน่าเชื่อถือของการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชน ส่งผลให้มีประชาชนจำนวนมาก หลงเชื่อลงทุนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 จนนำไปสู่การฟ้องดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว
จากนั้น พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ทำการสอบสวนขยายผล และรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่า มีผู้ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมอีก จำนวน 36 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 26,369,000 บาท จึงได้ขออนุมัติต่อศาลอาญา ออกหมายจับผู้ต้องหากับพวก ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจและในฐานะส่วนตัว จำนวน 2 ราย รวม 4 หมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายข้างต้น นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้จากการสอบสวนยังพบว่าผู้ต้องหากับพวก มีพฤติการณ์โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น ซึ่งได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนอันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 โดยได้ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน จะได้ดำเนินการตรวจสอบ ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินที่ได้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป สอบถามปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้น ทั้งสองรายให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา .-สำนักข่าวไทย