อัยการฟ้องแล้ว “แอม ไซยาไนด์” คดีการเสียชีวิต “ก้อย”

กทม. 19 ก.ค. – อัยการฟ้องแล้ว “แอม ไซยาไนด์” และอดีตสามี รอง ผกก.สวนผึ้ง พร้อมทนายพัช คดีการตายของ “ก้อย ศิริพร” โดนวางไซยาไนด์ในอาหารดับ ก่อนฉกทรัพย์ 9 รายการ กว่า 1.5 แสนบาท ทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอสู้คดี ศาลนัดตรวจหลักฐานวันที่ 2 ต.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ อายุ 35 ปี, พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 39 ปี อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช อายุ 35 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย, เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด, เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า จำเลยทั้งสามได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายต่างกรรมกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.66 เวลากลางวัน นางสรารัตน์จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร หรือก้อย อายุ 32 ปี ด้วยการวางแผนใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต น.ส.ศิริพร โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) อันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นสารพิษที่เมื่อบุคคลเสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายแล้วร่างกายจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดมีภาวะความเป็นกรดสูง เกิดภาวะขาดพลังงานและออกซิเจน ส่งผลให้สมองและหัวใจขาดพลังงานและออกซิเจน อันเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตของผู้เสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย ทำการปลอมปนใส่ลงในอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภค ชนิดใดและปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัดให้น.ส.ศิริพร ดื่มหรือรับประทาน หรือเสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีใดไม่ปรากฏชัด แต่เป็นปริมาณที่มากพอที่ทำให้สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย น.ส.ศิริพร จนหมดสติและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้บังอาจชิงทรัพย์โดยใช้ลักเอาเงิน จำนวน 50,000 บาท, กระเป๋าถือ ยี่ห้อ Louis Vuitton สีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ ราคา 30,000 บาท, กระเป๋าถือยี่ห้อ MAC สีดำ จำนวน 1 ใบ ราคา 300 บาท, กระเป๋าใส่บัตร ยี่ห้อ COACH สีน้ำเงิน จำนวน 1 ใบ ราคา 2,000 บาท, กระเป๋าสตางค์ ยี่ห้อ COACH สีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ ราคา 2,000 บาท, กระเป๋าสตางค์ ยี่ห้อ CHARLES & KEITH สีน้ำเงิน จำนวน 1 ใบ ราคา 1,000 บาท, สลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 18 ฉบับ ราคา 1,440 บาท, โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ OPPO รุ่น Reno 6 Pro 5 G จำนวน 1 เครื่อง ราคา 22,990 บาท และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ IPhone รุ่น ๑๔ Pro Max จำนวน 1 เครื่อง ราคา 44,900 บาท รวมทรัพย์ สิน 9 รายการ มูลค่าทั้งสิ้น 154,630 บาท ของ น.ส.ศิริพร ผู้ตายไปโดยทุจริต เพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น และเพื่อให้พ้นจากความผิด


เหตุเกิดที่ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี, และที่อื่นเกี่ยวพันกัน

คำฟ้องระบุอีกว่า ต่อมาวันที่ 19 เม.ย.66 เวลากลางวันและเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน ภายหลังเกิดเหตุตามฟ้องแล้ว พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 มีเจตนาเพื่อจะช่วยนางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษหรือให้ได้รับโทษน้อยลงในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฯ, โดยบังอาจช่วยซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ เป็นทรัพย์สินของ น.ส.ศิริพร ผู้ตายซึ่งเป็นทรัพย์บางส่วนที่จำเลยที่ 1 ได้มาจากการกระทำความผิด และเป็นพยานหลักฐานในคดีการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้รับทรัพย์ดังกล่าวมาไว้ในความครอบครองแต่มิได้นำทรัพย์ดังกล่าวส่งมอบให้แก่ทายาทของ น.ส.ศิริพร ผู้ตาย หรือเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาคดีนี้ยึดไว้เป็นของกลางในคดี แต่กลับนำทรัพย์ดังกล่าวส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1ได้ส่งทรัพย์ดังกล่าวไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของน.ส.ศิริพร ผู้ตาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

โดยเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2566 ภายหลังเกิดเหตุดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 3 ได้บังอาจก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง โดยทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สิน 6 รายการ ของ น.ส.ศิริพร ผู้ตาย อันเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ด้วยการใช้ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ให้ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานดังกล่าว โดย น.ส.ธันย์นิชา จำเลยที่ 3 ได้พูดยุยงบอกให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ได้รับทรัพย์ของ น.ส.ศิริพร มาไว้ในความครอบครองว่า “ถ้าจะสู้ให้หลุด ก็ต้องไม่ปรากฏของกลาง” และ “มีคดีที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีของกลางซึ่งคดีนี้ก็ควรทำให้ไม่มีของกลาง” โดยยกตัวอย่างคดีอาวุธปืนให้จำเลยที่ 2 ฟัง ซึ่งจำเลยที่ 2 เข้าใจว่าทำยังไงก็ได้ให้กระเป๋าหายไป อันเป็นการใช้ หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใดเพื่อให้จำเลยที่ 2 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง โดยช่วยซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินของ น.ส ศิริพร อันเป็นพยานหลักฐานในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้จำเลยที่ 2 นำทรัพย์ดังกล่าวส่งมอบให้แก่ทายาทของ น.ส.ศิริพร ผู้ตาย หรือเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาคดีนี้ยึดไว้เป็นของกลางในคดี อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย


ต่อมาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2566 ภายหลังจากที่จำเลยที่ 3 ได้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดด้วยการใช้ ยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใดดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยที่ 3 ก่อให้เกิดขึ้นดังกล่าว อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

ต่อมาวันที่ 22 เม.ย.66 ภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตรวจยึดขวดยาบรรจุ สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) 1 ขวด ที่จำเลยที่ 1 มีไว้และได้ใช้ปลอมปนเพื่อฆ่าและชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร ไว้เป็นของกลาง และต่อมาวันที่ 11 พ.ค.66 เจ้าพนักงานตรวจยึดทรัพย์สินของผู้ตายบางส่วนรวม 6 รายการ เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน กระทั่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาคดีนี้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ถูกจับและถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.2566 ต่อมาวันที่ 16 พ.ค.66 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาคดีนี้แก่จำเลยที่ 2 และในวันที่ 26 พ.ค.2566 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาคดีนี้แก่จำเลยที่ 3

ชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ท้ายคำฟ้องพนักงานอัยการโจทก์ระบุด้วยว่าคดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำผิดซึ่งข้อหาที่มีอัตราโทษสูง โจทก์ขอคัดค้านการประกันตัวของจำเลยที่ 1 เนื่องจากเกรงว่าจำเลยที่ 1 จะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ศาลอาญา ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2084/2566

โดยศาลได้สอบคำให้การจำเลยที่ 1 ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเร้นซ์ ไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 เดินทางมาศาลตามที่พนักงานอัยการฟ้องส่งตัว โดยจำเลยทั้งสาม แถลงให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายวันที่ 2 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

ต่อมา พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ทั้งสองมีประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 100,000 บาท ขณะที่นางสรารัตน์ ไม่ยื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สิ้นพระเอกดัง “ไพโรจน์ สังวริบุตร” จากไปอย่างสงบในวัย 72 ปี

3 มิ.ย.- วงการบันเทิงเศร้า… สิ้นพระเอกดัง “เอ๋” ไพโรจน์ สังวริบุตร นักแสดง-ผู้กำกับในตำนาน จากไปอย่างสงบในวัย 72 ปี แฟนคลับร่วมแสดงความอาลัย ข่าวเศร้าช็อกวงการบันเทิง เอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อเวลา 03.00 น. (3 มิ.ย.68) ที่จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุได้ 72 ปี กำหนดสวดพระอภิธรรม ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร สำหรับพิธีรดน้ำศพ จะมีขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยข้อมูลจากเพจดาราภาพยนตร์ เผยการจากไปของพระเอกรุ่นใหญ่ สร้างความโศกเศร้าให้กับวงการบันเทิงไทยอย่างมาก หากเอ่ยถึงชื่อ “ไพโรจน์ สังวริบุตร” คนไทยหลายรุ่นคงต้องนึกถึงชายหนุ่มร่างโปร่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และแววตาทะเล้นที่ปรากฏอยู่บนจอเงินในบท “ตั้ม” จากภาพยนตร์ วัยอลวน อันโด่งดังในยุค 2510–2520 เขาคือพระเอกผู้ก้าวข้ามกาลเวลา จากภาพลักษณ์ของวัยรุ่นสุดแนวในวันนั้น สู่ผู้กำกับภาพยนตร์มากฝีมือในวันนี้ และยังคงยืนหยัดเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย “ไพโรจน์ สังวริบุตร” เกิดเมื่อวันที่ 18 […]

Thai drone illegally enters Cambodian airspace, intercepted by Cambodian troops

กัมพูชาอ้างสกัดโดรนที่ส่งจากฝั่งไทย

พนมเปญ 3 มิ.ย.- สื่อกัมพูชารายงานว่า ทหารกัมพูชาสกัดอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนที่อ้างว่าส่งจากฝั่งไทยเข้าไปสอดแนมที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แขมร์ไทมส์รายงานวันนี้ว่า กองทัพไทยยังคงละเมิดดินแดนของกัมพูชา โดยล่าสุดได้ส่งโดรนไปบินเหนือพื้นที่แนวหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสอดแนมที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา และถูกกำลังพลกัมพูชาสกัดไว้ได้ แขมร์ไทมส์อ้างรายงานจากชายแดนว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 2 มิถุนายน ทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่บริเวณแนวหน้าในจังหวัดพระวิหารสามารถสกัดโดรนลำหนึ่งที่เข้ามาในน่านฟ้ากัมพูชาเพื่อวัตถุประสงค์ในการสอดแนม ผลการประเมินเบื้องต้นชี้ว่า โดรนลำนี้ถูกส่งโดยกองทัพไทย เพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองเรื่องการประจำการและการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพกัมพูชา.-814.-สำนักข่าวไทย

ล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้ากลางเมืองขอนแก่น ถอยหนีชนดะ

ขอนแก่น 3 มิ.ย. – ระทึก ผู้ต้องหาถอยรถหนี ชนจยย.สายตำรวจ ขณะล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้ากลางเมืองขอนแก่น ก่อนจนมุมรถไถลข้ามเลนพลิกตะแคง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพรถยนต์สีขาวจอดคุยกับชายคนหนึ่งที่ยืนริมถนนกสิกรทุ่งสร้าง หน้าตลาดจอมพล เขตเทศบาลนครขอนแก่น ทันใดนั้น รถคันดังกล่าวก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว พุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่ขี่อยู่ด้านหลังล้ม 2 คัน และพยายามเร่งเครื่องหลบหนีจนไปชนกับรถคันอื่นอย่างแรง แล้วไถลข้ามเลนพลิกตะแคงอยู่ข้างทาง เมื่อเวลา 22.45 น. วานนี้ (2 มิ.ย.) คนขับปีนออกจากหน้าต่าง มีท่าทีขัดขืน แต่สุดท้ายก็ยอมออกมาจากรถ หลังจากนั้นตำรวจพาเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และมีชายอีกคนออกมาจากหน้าเป็นรายที่สอง ตำรวจจึงควบคุมตัวที่ข้างทาง ต่อมา รถกู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุและทำการปฐมพยาบาลทั้งชายสองคนและสายลับที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุขณะล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ภายในรถมีบุหรี่ไฟฟ้าวางอยู่ ก่อนจะคุมตัวขึ้นรถกระบะไป สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.อ.พรศักดิ์ งานดี ผู้กำกับการตำรวจสืบสวนจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า นายอนุพงษ์ อายุ 35 ปี เป็นคนขายบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนนายณัฐพล อายุ 37 ปี เป็นคนขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุ มีพฤติกรรมลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านเฟซบุ๊กให้กับลูกค้าทั่วไปที่สั่งซื้อ จึงวางแผนล่อซื้อ […]

ทรงพระเจริญ

ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี ร่วมแปรอักษร แสดงพลังความจงรักภักดี

สงขลา 2 มิ.ย. – จังหวัดสงขลา จัดกิจกรรม “ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี” ประชาชนกว่า 5,000 คน ร่วมแปรอักษร “ทรงพระเจริญ คนสงขลารักพระราชินีฯ” แสดงพลังความจงรักภักดีอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ 2 มิถุนายน 2568 เวลา 16.30 น. ที่สนามกีฬาติณสูลานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนางปวีณ์ริศา เกิดสม ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสงขลา นำคณะรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนชาวสงขลากว่า 5,000 คน ร่วมกิจกรรม “ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี” เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ย้ำไทยเลือกสันติวิธี แจงปิดด่านต้องประเมินคุณ-โทษ

ทำเนียบ 4 มิ.ย.- นายกฯ ลั่น “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ย้ำไทยเลือกสันติวิธี ปมชายแดนไทย-กัมพูชา แต่หากปะทะเราพร้อม ยอมรับเป็นเพื่อนที่ดี แต่จะขอบ้านเราไม่ได้ หลังถูกจี้ถาม “ตระกูลชิน” เกี่ยวดอง “ฮุน เซน” แจงปิดด่านต้องประเมินคุณ-โทษ บอกปรึกษาทหารแล้ว งง สื่อฯ ทำไมวันนี้ ดุจัง ปลอบ ไม่เป็นไรนะ ไม่ได้ลงพื้นที่ดูหน้างาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ชายแดน ว่า ได้เน้นย้ำสถานการณ์ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี ต้องรวมกันเป็นหนึ่ง สิ่งสำคัญมาก ๆ คนไทยต้องรักกันสามัคคีกัน ไม่ใช่การเมืองในประเทศที่จะต้องมีการแบ่งฝ่ายกัน ทุกๆ ฝ่ายต้องช่วยกันรวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ต้องสื่อสารเรื่องนี้ว่าถึงเวลาที่เรามีปัญหาระหว่างประเทศเราต้องสามัคคีกัน ต้องใช้ความเป็นหนึ่ง รักกันของคนในชาติ รัฐบาลไม่ใช่พรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง ฝ่ายค้าน รัฐบาลก็คือประเทศไทย และการแสดงความเห็นและการปล่อยข่าวปลอมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น นายกรัฐมนตรี กล่าววว่า ถ้าถามว่ารัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างไรนั้น รัฐบาลทำเต็มที่และรักษาอธิปไตยของเราเป็นสิ่งที่จำเป็น รัฐบาลและทหาร คุยกันตลอดว่า จะไปทางไหนอย่างไรเราต้องมั่นใจว่าเราเป็นประเทศไทยเพลงชาติไทย เขาเรียกว่า […]

‘อี แจ-มยอง’ คว้าชัยเลือกตั้ง ปธน.เกาหลีใต้

โซล 4 มิ.ย. – อี แจ-มยอง ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตย ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ พร้อมประกาศชัยชนะต่อผู้สนับสนุน ขณะที่ คิม มุน-ซู คู่แข่งจากพรรคพลังประชาชน ออกมายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว นายอี ได้ชัยชนะการเลือกตั้งหลังจากการนับคะแนนผ่านไปร้อยละ 94.4 และเมื่อช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน นายอี ได้คะแนนเสียงไปแล้วร้อยละ 48.8 และนายคิม คู่แข่งคนสำคัญจากพรรคพลังประชาชน แนวอนุรักษ์นิยม ได้ร้อยละ 42 แม้ว่าคะแนนที่ยังไม่ได้นับ จะตกเป็นของนายคิมแต่ก็ยังตามนายอีไม่ทัน ซึ่งทำให้นายอี ยืนยันชัยชนะของเขาเป็นที่เรียบร้อย สำหรับตัวเลขผู้ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเบื้องต้นอยู่ที่ร้อยละ 79.4 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 28 ปี นับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2540 ในจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 44.4 ล้านคน มีผู้มาใช้สิทธิราว 35.24 ล้านคนตามหน่วยเลือกตั้ง 14,295 แห่งทั่วประเทศ จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 77.1 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งก่อนในปี 2565 นายอีกล่าวว่า เขาจะไม่มีวันลืมหน้าที่ของประธานาธิบดีในการสร้างความเป็นเอกภาพของผู้คนในประเทศ และว่าเขาจะหาวิธีให้ประเทศอยู่ร่วมกับเกาหลีเหนือได้โดยผ่านการเจรจาและพูดคุยกัน ด้าน นายคิม […]

รัฐบาลออกแถลงการณ์ปมไทย-กัมพูชา ยันปกป้องอธิปไตยเต็มที่

ทำเนียบ 4 มิ.ย.- รัฐบาล ออกแถลงการณ์กรณีไทย-กัมพูชา ยืนยัน ตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยเต็มที่ ยึดหลักแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และสวัสดิภาพของประชาชน ย้ำ ชายแดน มีความสงบเรียบร้อย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากการประชุมทุกภาคส่วนของ รัฐบาลภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย -กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เช้าวันนี้ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 07.00 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าวดังต่อไปนี้ แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี […]

อุตุฯ เผยไทยฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 60%

กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส.-สำนักข่าวไทย