กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – โฆษก ตร. แจงคดีตำรวจ สภ.วังน้อย เมาแล้วขับชนคนเสียชีวิต 2 ราย ถูกดำเนินคดี 2 ข้อหาหนัก ควบคู่ดำเนินการทางวินัย พร้อมย้ำ ผบ.ตร. สั่งทำคดีตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน ให้ความเป็นธรรมผู้เสียหาย ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือกันอย่างแน่นอน
วันนี้ (4 ก.ค.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “จากกรณีการเจ้าหน้าที่ตำรวจเมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.วังน้อย จากการตรวจสอบพบว่า ตำรวจผู้ก่อเหตุคือ ร.ต.ต.อัฑกร รองสารวัตรป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรวังน้อย เป็นผู้ขับขี่รถกระบะในลักษณะเมาสุรา ขับเข้าไปในช่องทางของรถจักรยานยนต์คู่กรณี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดบนถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ หน้าปั๊ม ปตท. หมู่ 5 ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา วันที่ 4 ก.ค.66 เวลา 04.30 น.
หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ ตรวจเก็บพยานหลักฐาน และภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ร.ต.ต.อัฑกร พบแอลกอฮอล์ในร่างกาย 130 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. รับทราบเรื่อง ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ควบคุม กำกับดูแลการสอบสวน พร้อมให้ พ.ต.อ.สมเจษฐ์ แม้นบุตร ผกก.สภ.วังน้อย ควบคุมการสอบสวนด้วยตนเอง ทำตามขั้นตอนกระบวนการสอบสวนให้ครบถ้วนทุกมิติ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ ร.ต.ต.อัฑกร ในความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีผู้ได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ ได้ให้ ผกก.สภ.วังน้อย พิจารณาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ โดยให้ ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ควบคุมกำกับดูแลให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทุกประการ
โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำให้ทำคดีนี้ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน แม้ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นข้าราชการตำรวจ ขอให้มั่นใจว่าตำรวจจะทำคดีนี้เต็มที่ ไม่มีการช่วยเหลือกัน ในเบื้องต้น สภ.วังน้อย ได้ดำเนินการเต็มที่ ทั้งการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาพวงจรปิดที่จะเป็นหลักฐานสำคัญของคดี รวมทั้งการผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ และตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ขอให้ผู้เสียหายมั่นใจในการทำงานของตำรวจ ว่าจะได้รับความเป็นธรรมตามขั้นตอนกระบวนทางกฎหมาย ไม่มีการช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ใดอย่างแน่นอน”.-สำนักข่าวไทย