กรุงเทพฯ 17 พ.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รวบอดีตเจ้าหน้าที่กงสุลไทยปลอมวีซ่า คาสนามบินสุวรรณภูมิ หลังออกวีซ่าผิดประเภทให้นักศึกษาจีนมาเรียนในไทย เชื่อหวังส่วนต่างค่าธรรมเนียม
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกันจับกุม นายตี๋ (นามสมมุติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ.93/2565 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ปลอมเอกสารราชการ และปลอมแผ่นปะลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ” จับกุมที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นลูกจ้างชั่วคราวในต่างประเทศ มีตำแหน่งเป็น เสมียนประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมาช่วงเกิดเหตุประมาณเดือนมิถุนายน – กันยายน 2556 ผู้ต้องหาได้ทำหน้าที่ดำเนินการพิมพ์แผ่นปะตรวจลงตรา (VISA) ของนักศึกษาสัญชาติจีนที่จะเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในไทย จำนวน 9 คน โดยกลุ่มนักศึกษาได้ทำเรื่องขอ VISA ประเภทคนอยู่ชั่วคราว แต่ผู้ต้องหาออก VISA ประเภทนักท่องเที่ยวให้แทน และส่งมอบให้กับนักศึกษา ต่อมากลุ่มนักศึกษาได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อเข้ารับการศึกษา ผ่านมาระยะหนึ่ง นักศึกษาจีนกลุ่มนี้ได้ทำเรื่องขออยู่ชั่วคราวเพื่อศึกษาต่อแต่ไม่สามารถทำเรื่องได้ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตจึงสอบถามไปยังสถานเอกอัครทูต ณ กรุงปักกิ่ง ให้ตรวจสอบหนังสือเดินทางและเอกสารตรวจลงตราของกลุ่มนักศึกษาดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบว่า แผ่นปะตรวจลงตรา (VISA) ที่ผู้ต้องหาออกให้กับนักศึกษากลุ่มนี้ เป็นการนำแผ่นปะตรวจลงตราจริงไปออกผิดประเภท โดยจากการตรวจสอบข้อมูลในระบบ Visa System ปรากฏว่า VISA นักศึกษาสัญชาติจีนทั้ง 9 คน เป็นการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวแทนที่จะเป็นประเภทคนอยู่ชั่วคราว
จากการกระทำของผู้ต้องหา ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาอาจจะได้ส่วนต่างของค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทอยู่ชั่วคราว เนื่องจากการตรวจลงตราประเภทนี้ มีอัตราค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าประเภทนักท่องเที่ยว จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทรวงการต่างประเทศจึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และได้เรียกผู้ต้องหามาซักถาม โดยผู้ต้องหาให้การยอมรับกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้รับเรื่อง และเป็นผู้ที่ดำเนินการตรวจลงตราให้กับนักศึกษาสัญชาติจีนจริง กระทรวงการต่างประเทศจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เพื่อนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด
กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม จึงมอบหมายให้ พ.ต.ต.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์ สว.กก.1 บก.ป. พร้อมพวก ทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาดังกล่าว เนื่องจากขณะกระทำความผิดผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย และได้ก่อเหตุที่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรไทย อีกทั้งผู้ต้องหานี้ยังคงหลบหนีคดีโดยได้เดินทางออกราชอาณาจักรไทยไปเมื่อในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่จึงประสานงานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อติดตามการเดินทางเข้าประเทศไทยของผู้ต้องหาเพื่อนำตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อจับกุมผู้ต้องหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบชายไทยมีตำหนิรูปพรรณตรงกับผู้ต้องหาจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเข้าจับกุม ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา .-สำนักข่าวไทย