กรุงเทพฯ 15 พ.ค. – ผู้เสียหายถูกหลอกซื้อทัวร์ไปต่างประเทศเสียหายกว่า 30 ล้านบาท รวมตัวร้องให้ “บิ๊กโจ๊ก” เร่งดำเนินคดีกับบริษัททัวร์ชื่อดัง ขณะที่ “บิ๊กโจ๊ก” ตำหนิตำรวจท่องเที่ยวทำงานล่าช้า
เวลา 13.30 น. กลุ่มผู้เสียหายกว่า 10 คน นำหลักฐานการซื้อทัวร์ไปต่างประเทศ กับบริษัททัวร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง มอบให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดดำเนินคดี หลังจากมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อจากผู้ต้องหากลุ่มนี้ กว่า 800 คน มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
นายพัลลภ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ได้พบเจอการโฆษณาชวนเชื่อให้ซื้อทัวร์ไปต่างประเทศในยูทูบเมื่อปลายปี 2565 จึงตกลงซื้อทัวร์ไปประเทศอังกฤษ เพื่อไปชมการแข่งขันฟุตบอล มีโปรโมชั่นซื้อ 3 แถม 1 โดยต้องจ่ายโอนเงินสด จึงโอนจ่ายเงินไป 450,000 บาท กำหนดเดินทางระหว่างวันที่ 6-13 เมษายน 2566 โดยทางบริษัท ได้ขอสำเนาหนังสือเดินทาง และเอกสารส่วนตัวเพื่อไปทำเรื่องขอวีซ่า แต่พอถึงต้นเดือนเมษายน ยังไม่ส่งวีซ่ามาให้จึงรู้ว่าถูกหลอก และสุดท้ายไม่ได้เดินทาง เมื่อไปติดตามทวงถามก็ถูกบ่ายเบี่ยง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัท เพื่อไปหลอกคนอื่นต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่โอนเงินคืนให้ จากการตรวจสอบก็พบมีผู้เสียหายจำนวนมาก ที่โอนเงินไปแล้ว และยังไม่ได้เงินคืน
นายสัมพันธ์ 1 ในบริษัทตัวแทนจำหน่าย ที่ตกเป็นผู้เสียหายเช่นกัน บอกว่า ได้รวมตัวไปร้องเรียนกับกรมการท่องเที่ยว และได้พบกับอธิบดีกรมฯ มาแล้ว รวมทั้งไปร้องเรียนกับกองบังคับการปราบปรามมาแล้ว แต่คดียังไม่คืบหน้า พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันตรวจสอบกลุ่มที่อ้างตัวจำหน่ายทัวร์ให้กับบุคคลอื่น เพราะที่ผ่านมามีบริษัทตัวแทนจำหน่ายทัวร์หลงเชื่อ และต้องรับภาระจากลูกค้าแทนจำนวนมาก แต่บริษัททัวร์ กลับไปเปลี่ยนชื่อบริษัท หลอกลวงประชาชนต่อเนื่อง กว่าจะถูกดำเนินคดี ก็ใช้เวลานานมาก
ขณะที่ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าว ขณะนี้รู้ตัวผู้ต้องหาแล้ว ก็จะเร่งรัดให้ตำรวจท้องที่รับดำเนินการต่อ ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับคดีเหล่านี้ คือ การติดตามเงินคืนเป็นไปได้ยาก เพราะมีการทำเป็นขบวนการตั้งแต่คนหลอกผู้เสียหาย ไปจนถึงการรับโอนเงินและแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มลดลง ทำให้มีนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมากขึ้น ทำให้มีปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวมากขึ้นตามไปด้วย แต่หลายคดีกลับไม่มีความคืบหน้า และมีการกระทำผิดซ้ำอยู่เรื่อยๆ
พร้อมกับตั้งคำถามว่า “กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวทำอะไรอยู่?” เพราะยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว จนร่วมผลักดันให้ปรับขึ้นเป็นกองบัญชาการ เพื่อรองรับปัญหาการท่องเที่ยวที่จะตามมา และแบ่งเบาภาระคดีในสถานีตำรวจต่างๆ แต่ทุกวันนี้ กลับไม่ดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และยังปล่อยปละให้คดีที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีผู้เสียหายอยู่จำนวนมาก และความเสียหายหลายสิบล้านบาท ทั้งที่ตำรวจท่องเที่ยว มีข้อมูลของบริษัททัวร์ทุกแห่ง และเป็นมือขวาของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องดูแลนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นกว่านี้ .-สำนักข่าวไทย