กรุงเทพฯ 5 เม.ย. – ตำรวจเร่งพิสูจน์ทราบคนร้ายยิงนักศึกษาปทุมวันเสียชีวิต ย่านจรัญสนิทวงศ์ เชื่อเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันกับที่ก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชนในพื้นที่ สน.บางขุนเทียน และทุ่งมหาเมฆ หลังพบพฤติการณ์การก่อเหตุเหมือนกัน
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนคดียิงนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ย่านปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 30/1 พื้นที่ สน.บางกอกน้อย ว่า เบื้องต้นจากการสืบสวนสอบสวนในขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถออกหมายจับตัวผู้ก่อเหตุได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลว่าคนร้ายคือใคร ทั้งนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบสักระยะหนึ่ง แต่จากการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบพฤติการณ์การก่อเหตุของคนร้ายพบว่ามีลักษณะการก่อเหตุที่ใกล้เคียงกับคดียิงนักศึกษาปทุมวันในพื้นที่ สน.บางขุนเทียน เมื่อกลางปีที่แล้ว และคดีที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากลักษณะการก่อเหตุเป็นการล็อคเป้าเฝ้าติดตามผู้เสียชีวิต ว่าจะเข้าออกจากที่พักในช่วงเวลาใด ก่อนจะเข้าไปก่อเหตุด้วยรถจักรยานยนต์โดยเป็นการยิงให้รถล้มก่อนจะวนรถกลับมาจอดยิงซ้ำอีกครั้ง อีกครั้งช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุพบว่ากลุ่มคนร้ายมีการขับรถวนไปมาเพื่อปกปิดร่องรอยของตนเอง (ขับรถวนหลอกกล้อง) โดย 2 คดีแรกตำรวจสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ แต่ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด ทั้งนี้หากสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้จะต้องนำไปตรวจสอบกับทั้ง 2 คดีก่อนหน้านี้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุรายเดียวกันหรือไม่ ก่อนจะดำเนินการออกหมายเรียกหรือหมายจับ
ทั้งนี้จากการสอบปากคำครอบครัวและพยานแวดล้อมพบว่า ประวัติของผู้เสียชีวิตไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคู่อริของสถาบันใด เพราะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 อีกทั้งยังไม่มีประวัติเชื่อมโยงไปถึงผู้เสียชีวิตในคดีอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ประวัติข้อมูลที่ตรงกันคือเป็นเด็กตั้งใจเรียน และไม่ได้มีประวัติการก่อเหตุทะเลาะวิวาท หรือยกพวกตีกับคู่อริสถาบันใด
ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่าคดีในพื้นที่ สน.บางขุนเทียน การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่าคนร้ายมีการทำงานกันเป็นกลุ่มองค์กรคล้ายองค์กรอาชญากรรมและมีการช่วยปกปิดร่องรอยการก่อเหตุไม่ให้สามารถจับกุมคนร้ายได้ ยืนยันว่าคดีนี้ไม่หนักใจแม้ว่ากลุ่มคนร้ายจะมีลักษณะพฤติการณ์ทำงานเป็นกระบวนการก็จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนจนสามารถออกหมายจับและติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ หากพบว่ามีบุคคลใดให้การช่วยเหลือก็พร้อมจะดำเนินคดีบุคคลนั้นๆ ตามขั้นตอนต่อไป. -สำนักข่าวไทย