29 มี.ค. – เจ้าหน้าที่ดีเอสไอนำผู้ต้องหาอดีตพนักงานการท่าเรือฯ ส่งสำนวนสอบสวนต่ออัยการพิเศษ คดีทุจริตเบิกจ่ายค่าล่วงเวลานาน 10 ปี ทำให้รัฐเสียหายกว่า 3,300 ล้านบาท ขณะที่ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย
คดีนี้สืบเนื่องจากกรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ และสรุปสำนวนส่งให้คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช.ส่งสำนวนกลับไปให้ดีเอสไอดำเนินคดีต่อ ต่อมาเดือนมิถุนายน 2560 ดีเอสไอแจ้งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งดำเนินคดีกล่าวหาพนักงาน อดีตพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย และผู้ควบคุมงาน รวม 560 คน มูลค่าความเสียหาย 3,300 ล้านบาท โดยใช้เวลาสรุปสำนวนนานกว่า 6 ปี จึงสั่งฟ้องผู้ต้องหา 37 คน จาก 560 คน
นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้พาผู้ต้องหาเข้าพบอัยการพิเศษ เพื่อต่อสู้คดีในชั้นอัยการ และยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ขอให้สอบพยานเพิ่มเติมรวม 2 ปาก ที่เป็นพนักงานการท่าเรือ และรักษาการแทนผู้อำนวยการท่าเรือ ว่ามีการกลั่นแกล้งผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดให้ถูกดำเนินคดีหรือไม่ เนื่องจากมีหนึ่งคนมีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ได้ขออนุญาตลา แต่เมื่อเดินทางกลับมาเบิกและรับเงินค่าล่วงเวลาอีก และถูกลงโทษทางวินัยไล่ออกเท่านั้น โดยไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีเหมือน 560 คน และยังเป็นพยานในสำนวนคดีพิเศษ จึงเชื่อว่ามีการปรักปรำใส่ร้ายผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกสังคมประณามเป็นคนทุจริตโกงเงินหลวง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสีย ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ถูกกล่าวหา และทำให้แพ้คดีการฟ้องคดีที่ศาลแรงงานเรียกค่าล่วงเวลาอีกด้วย . -สำนักข่าวไทย