สำนักข่าวไทย 15 มี.ค. – ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์ฯ ระบุกรณีสารวัตรคลั่งปฏิเสธการรักษาด้วยการแสดงความรุนแรงออกมา อาจเป็นเพราะกระบวนความคิดหรือการตีตราผู้ป่วย หรืออาจป่วยแต่ไม่รู้ตัว ย้ำยาบ้า กัญชา ล้วนเสริมฤทธิ์ให้อาการทางจิตยิ่งรุนแรง ไม่แนะนำให้ใช้เหล้า กัญชา เพื่อบรรเทาอาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ พร้อมชี้ตรวจจิตคนถือครองอาวุธ ต้องทำควบคู่ตรวจประวัติพฤติกรรมความรุนแรง และใช้จิตแพทย์จำนวนมากในการตรวจ
ศ.นพ.มานิต ศรีสุรภานนท์ ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงเหตุการณ์สารวัตรคลั่ง ว่า อยากให้สังคมมีความเข้าใจเรื่องของผู้ป่วยทางจิตเวช เพราะบ่อยครั้งถูกตีตรา ทำให้ขาดความเข้าใจเรื่องกระบวนการรักษา จากกรณีสารวัตรคนดังกล่าว เกิดอาการคลุ้มคลั่ง หลังจากรถพยาบาลมารับตัวไปรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งการแสดงออกลักษณะคล้ายปฏิเสธการรักษา อาจเกิดจาก 1.การตีตราในสังคม ไม่มีใครอยากถูกตีตราว่าเป็นคนป่วยทางจิต ไม่เหมือนกับการเจ็บป่วยโรคทางกาย ที่คนมักให้ความเห็นใจและสงสาร ทั้งที่จริง ๆ แล้ว โรคทางใจต้องการความช่วยเหลือและรักษาไม่แตกต่างกัน 2.ไม่รู้ตัวว่าป่วย ไม่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมอารมณ์ของตนเอง ต้องอาศัยคนรอบข้างร่วมสังเกต และ 3.เข้าใจว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาทางจิตเวช จะขาดอิสระ ไม่เหมือนกับการรักษาโรคทางกาย
ส่วนเรื่องการตั้งข้อสังเกต พบอุปกรณ์การเสพกัญชาใกล้กับที่นอนของสารวัตรคนดังกล่าวนั้น ศ.นพ.มานิต กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจว่า เมื่อมีอาการทางจิต และมีการใช้สารเสพติดร่วมยิ่งส่งผลให้อาการรุนแรงมากขึ้น โดยสารเสพติดก่อให้เกิดอาการทางจิตเวช ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) และกัญชา ส่วนที่ระบุจากข่าวว่าผู้ก่อเหตุรายนี้มีอาการนอนไม่หลับ จึงสันนิษฐานว่าอาจใช้เพื่อบรรเทาอาการนั้น อยากทำความเข้าใจว่าการรักษาอาการ ทั้งวิตกกังวล หรือนอนไม่หลับ จิตแพทย์จะไม่แนะนำให้ใช้สารเสพติดอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหล้า หรือกัญชา ส่วนฤทธิ์ของกัญชาในร่างกายจะอยู่นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาก็ต้องรับยาเพื่อถอดฤทธิ์เหล่านี้ออกทันที จะรอให้หมดเองไม่ได้ เพราะจะเป็นปัญหาในกระบวนการรักษา และภาระของแพทย์ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ส่วนผู้ก่อเหตุรายนี้จะเสพกัญชาหรือไม่ ไม่อาจตอบได้
ส่วนทำไมคนสีกากี หรือผู้มีอำนาจถือครองอาวุธปืนมักก่อนเหตุรุนแรงและมีอาการป่วย ศ.นพ.มานิต กล่าวว่า มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาทั้งการตรวจสอบสภาพจิตใจก่อนที่จะมีการอนุญาตให้ถือครองอาวุธปืน แต่ต้องยอมรับว่ามีความยุ่งยาก เนื่องจากกลไกการตรวจสอบสภาพจิตใจไม่ง่าย และไม่สามารถทำเสร็จแบบรวดเร็วทันที ต้องใช้เวลา ดังนั้น หากผู้ถือครองอาวุธมีนับแสนคน ต้องใช้บุคลากรหรือจิตแพทย์จำนวนมากในการตรวจสอบ และที่สำคัญการตรวจสุขภาพทางจิต ยังต้องเชื่อมโยงร่วมกับการตรวจค้นประวัติของผู้ถือครองอาวุธด้วย ว่ามีพฤติกรรม ชอบก่อเหตุ หรือกระทำความรุนแรงบ่อยครั้งหรือไม่ ทั้งนี้ ทุกอย่างต้องใช้เม็ดเงินในการลงทุน และต้องทำแบบต่อเนื่อง ซึ่งต้องชั่งน้ำหนักว่าภาครัฐและเห็นด้วยหรือไม่ เพราะหากนำจิตแพทย์มาช่วยกันตรวจสุขภาพจิตผู้ถือครองอาวุธปืนกันหมด ก็อาจละเลยการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย