กรุงเทพฯ 11 ม.ค. – “ทนายเดชา” ชี้ตำรวจไม่ควรทำตัวเหมือนเป็นทนายความแก้ต่างให้กับผู้ขับขี่ กรณีรถหรูเบนท์ลี่ย์ชนบนทางด่วน หลังออกมาแถลงข่าวระบุว่าผู้ขับขี่เจ็บหน้าอกไม่สามารถเป่าเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ได้ ย้ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสื่อมวลชน ถึงกรณีคดีที่รถยนต์หรูพุ่งชนรถบนทางด่วนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายและมีผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ออกมาอยู่ที่ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ว่า ในทางปฏิบัติของการดำเนินคดีพนักงานสอบสวนต้องทำการตรวจสอบวัดค่าปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวผู้ขับขี่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางจราจรและต้องสงสัยว่าอาจจะมึนเมาสุรา ในทันทีตั้งแต่จุดเกิดเหตุ ซึ่งในส่วนของผู้กระทำความผิดไม่สามารถปฏิเสธหรือเลือกว่าจะทำการตรวจแบบใด เพราะในทางกฎหมายถือเป็นผู้กระทำความผิด และหากปฏิเสธในการตรวจสอบเรื่องของการเป่าตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในจุดเกิดเหตุพนักงานสอบสวน ต้องสันนิษฐานว่าขับรถขณะมึนเมาสุรา สามารถดำเนินการแจ้งข้อหามึนเมาขณะขับขี่ได้ทันที และการที่ทางตำรวจออกมาพูดว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถกระทำได้เหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ซึ่งต่อไปอาจจะทำให้มีผู้อ้างถึงกรณีดังกล่าวและทำตามอย่างมาก
ส่วนผลการตรวจเลือดที่พบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ถึง 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวมีข้อมูลว่าผลการตรวจอยู่ที่ 16 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าไม่เข้าข่ายความผิดเพราะผู้ที่มีใบขับขี่ถาวรจะต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถึงจะเข้าข่ายความผิดเมาแล้วขับ ส่วนผู้ที่มีใบขับขี่ชั่วคราวไม่เกิน 2 ปี จะต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถึงจะเข้าข่ายความผิดมึนเมาขณะขับขี่ ซึ่งทั้งสองกรณีและผลการตรวจเลือดของทางตำรวจก็ถือว่าไม่เข้าข่ายทั้งสองเงื่อนไข ส่วนการคำนวณย้อนหลังไปเพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ตอนขับขี่รถในทางกฎหมายไม่สามารถใช้ได้เพราะเวลาพิสูจน์กันในชั้นศาลต้องใช้หลักฐานจากทางผู้เชี่ยวชาญเป็นเอกสารซึ่งคือผลที่มีการตรวจ ณ ปัจจุบัน
นอกจากนี้ตนเองยังได้ข้อมูลมาจากพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าในจุดเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนเดินทางมายังจุดเกิดเหตุ รวมถึงไปถึง สน.แล้ว ก็พบมีเพียงตำรวจชั้นประทวนเฝ้าอยู่ทาง สน.เท่านั้น ไม่มีตำรวจชั้นสัญญาบัตรแต่อย่างใด ซึ่งต้องก็ตรวจสอบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวพนักงานสอบสวนเจ้าของเวรได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีหรือไม่ เพราะหากไม่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีหรือไม่มาเข้าเวร ก็จะเข้าข่ายความผิดวินัยตำรวจ ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลและกองบังคับการตำรวจจราจรต้องตรวจสอบในประเด็นนี้และตอบคำถามสังคมให้ได้
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการออกมาแถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าวตนเองอยากให้ตำรวจแถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมา เป็นกลาง การที่ออกมาแถลงข่าวว่าผู้ขับขี่เจ็บหน้าอกไม่สามารถเป่าได้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดเพราะเหมือนทางโฆษกนครบาลเป็นทนายความแก้ต่างให้กับทางผู้ขับขี่ ซึ่งทางตำรวจต้องระมัดระวังในจุดนี้
ส่วนกรณีที่ปรากฏคลิปว่าผู้ขับขี่ ขึ้นรถแท็กซี่ออกจากจุดเกิดเหตุ ในทางกฎหมายหากเกิดอุบัติเหตุคดีจราจรขึ้น ผู้ที่เป็นผู้กระทำความผิดและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต้องอยู่ในที่เกิดเหตุรอพบพนักงานสอบสวน ส่วนผู้กระทำความผิดต้องให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวเท่าที่ได้ข้อมูลมาไม่มีการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และมีการนั่งรถแท็กซี่ออกจากจุดเกิดเหตุ ในทางข้อกฎหมายต้องสันนิษฐานว่า พยายามหลบหนี. -สำนักข่าวไทย