ดีเอสไอรับ “คดีตู้ห่าว” เป็นคดีพิเศษ “ฐานฟอกเงิน”

กรุงเทพฯ 15 ธ.ค. – ดีเอสไอรับคดี “ตู้ห่าว” เป็นคดีพิเศษ เข้าเงื่อนไขฟอกเงิน ยึดทรัพย์แล้ว 4,401 ล้านบาท ขณะ “ชูวิทย์” ตั้ง 5 คำถามถึง ผบช.น. คดีผับจินหลิง


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวรับคดี “นายตู้ห่าว” หนึ่งในกลุ่มธุรกิจจีนสีเทา เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากคดีนี้มีความซับซ้อน มีนอมินีและชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง และทุนทรัพย์เกิน 3,000 ล้านบาท

โดยทางดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเมื่อวานนี้ (14 ธ.ค.) เลขที่ 314/2565 ซึ่งเป็นการรับเป็นคดีพิเศษโดยอาศัยประกาศตามบัญชีท้าย โดยไม่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ เบื้องต้นจะรับเป็นคดีพิเศษเฉพาะคดีฟอกเงินก่อน เพราะเป็นความผิดที่บัญญัติไว้บัญชีท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ส่วนจะรับคดีอาญาอื่นๆ มาดำเนินการด้วยหรือไม่ ยังเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งต้องเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดดีเอสไอก่อน


สำหรับทรัพย์สินที่ ป.ป.ส. และดีเอสไอ ยึดอายัดจากกลุ่มทุนจีนสีเทามาได้แล้วตอนนี้มีทั้งหมด 4,401,140,000 บาท โดยกรณีของนายตู้ห่าว ตอนนี้ดีเอสไอตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มนายทุนต่างชาติ 4-5 กลุ่ม อยู่เบื้องหลัง ถือพาสปอร์ตต่างประเทศ น่าจะเป็นคนส่งทุนเข้ามาให้ โดยดีเอสไอมีเลขพาสปอร์ตของคนกลุ่มนี้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเตรียมดำเนินคดีนอมินีต่อไป

ขณะเดียวกันยังเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน และสอบสวนขยายผลไปยังนิติบุคคล กรรมการบริษัท และพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะติดตามตัวมาสอบปากคำให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และจะสรุปตั้งข้อกล่าวหาให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน

ขณะเดียวกัน ป.ป.ส. เตรียมออกคำสั่งยึดอายัดทรัพย์กลุ่มทุนจีนสีเทาเพิ่มเติมอีกกว่า 1,200 ล้านบาท และเตรียมขยายผลเพิ่มเติม คาดจะยึดอายัดทรัพย์ได้อีกจำนวนมาก


ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมาส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมให้กับกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งมอบกระเช้าดอกไม้ให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เพื่อแสดงความขอบคุณและเป็นกำลังใจให้อธิบดีและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่มีอะไรคืบหน้าอีกตนคงต้องไปกระโดดน้ำสะพานพุทธแล้ว

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนเองมั่นใจว่า รมว.ยุติธรรม และดีเอสไอ มีความสามารถในการดำเนินคดีนี้ หลังที่ผ่านมาเคยไปร้องเรียนกับตำรวจแต่เกิดปัญหาล่าช้า ไม่ได้มีการแจ้งข้อหาฟอกเงินกับนายตู้ห่าว ทั้งๆ ที่ตนเองนำหลักฐานทั้งหมดมอบให้ตำรวจแล้ว

การออกมาเปิดเผยหลักฐานในคดีตู้ห่าว จนสู่ขั้นตอนการดำเนินคดีในฐานความผิดหลายข้อหา ตนเองยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกับนายตู้ห่าว หรือใครเป็นส่วนตัว และไม่มีใครอยู่เบื้องหลังให้ออกมากลั่นแกล้งใคร แต่ตนเองออกมาในฐานะพลเมืองหรือประชาชนคนหนึ่งที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการรับผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทน หากได้รับส่วนแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สิน 5% ตนเองจะนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาล โดยวันพรุ่งนี้ (16 ธ.ค.) เวลา 11.30 น. จะเดินทางไปพบ ผบ.ตร. ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมอบหลักฐานเพิ่มเติมในการดำเนินคดีอาญาที่ยังอยู่ในการดูแลกับตำรวจ พร้อมทั้งบริจาครถให้กับโรงพยาบาล

“ชูวิทย์” ฝาก 5 คำถามถึง ผบช.น. คดีผับจินหลิง
นายชูวิทย์ยังได้ฝากคำถาม 5 ข้อ ถึง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และคณะ ที่แถลงข่าวความคืบหน้าคดีผับจินหลิงในวันนี้ ประกอบด้วย 1.ทำไมถึงตั้งข้อกล่าวหาสมคบฟอกเงินกับคดียาเสพติด แต่ไม่ตั้งข้อหาสมคบฟอกเงิน 2.ทำไมไม่ตรวจสอบพยานบุคคลจากการเช่าสถานที่ของนายตู้ห่าว 3.ทำไมไม่ตรวจสอบพยานบุคคลและนักท่องเที่ยวที่เข้าไปใช้บริการ แต่กลับปล่อยกลับบ้าน 4.ใครพาเดวิส ฮอล์ และหลานตู้ห่าว หลบหนีไป ซึ่งนายชูวิทย์มองว่าเป็นการปล่อยตัวโดยมิชอบ โดยไม่มีการสอบปากคำ และ 5.มีพยานในคดีผับจินหลิงหรือไม่ และสอบปากคำพยานจีนแล้วหรือไม่

ผบช.น.แจงข้อสงสัยคดีผับจินหลิง
ด้าน พล.ต.ท.โทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แจงข้อสงสัยต่างๆ ที่ถูกตั้งคำถามถึง โดยอธิบายถึงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่วันที่เข้าตรวจค้นผับจินหลิง คือวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังมีข้อมูลว่ามีการลักลอบเล่นการพนัน เสพยาเสพติด ลักลอบเปิดเป็นสถานบันเทิง ซึ่งพบบุคคลหลายสัญชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และพบยาเสพติดหลายประเภท นอกจากนี้ยังพบรถหรูอีก 35 คัน โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามหาเจ้าของรถ ส่วนที่มีการปล่อยรถคืนไปนั้น มีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีการทุจริต ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว

เบื้องต้นจากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบสารเสพติด 104 คน และจากการส่งไปตรวจละเอียดที่โรงพยาบาล พบว่ามีสารเสพติดที่สามารถระบุได้ชัดเจน 77 คน จึงดำเนินคดีเสพยาเสพติด ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย ที่ไม่ใช่ผู้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบคดี นำหนึ่งในผู้ต้องหาแยกออกไปฟ้องเอง โดยได้รับการว่าจ้างจากผู้มีอิทธิพลทางการเงิน ขณะนี้ดำเนินคดีอาญาและส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แล้ว ยืนยันว่าเป็นการกระทำเฉพาะบุคคล ส่วนบุคคลที่เป็นผู้จ้างวาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตาม โดยการสอบสวนอยู่ในอำนาจของป.ป.ช.

ส่วนผู้เสพที่เหลือ 76 ราย หลังส่งฟ้องได้ส่งกลับไปยังห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่าสอบปากคำทั้งหมดแล้ว รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงิน การซื้อยาเสพติดทั้งหมด ซึ่งผู้เสพรับว่ามีรถไปรับและพามาเสพ

สำหรับความคืบหน้าในคดี ตำรวจได้ดำเนินคดีกับบุคคลชาวจีน 2 คน ที่ตรวจพบในห้องเก็บยา ในข้อหามีเคตามีนไว้ในครอบครอง และจากการสืบสวนเส้นทางการเงินและการติดต่อสื่อสาร พบความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆ อีก 10 คน ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ จนนำไปสู่การออกหมายจับ ตอนนี้จับกุมได้แล้ว 7 คน โดยได้เสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าทั้ง 10 รายนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่

พล.ต.ท.ธิติ ยังกล่าวถึงบุคคลที่เป็นผู้ดูแลสถานที่ ซึ่งมีผู้กล่าวถึงว่าเป็นเพียง รภป.นั้น ยืนยันว่าบุคคลนี้ไม่ใช่ รปภ. ขณะเข้าตรวจค้นก็แสดงตนเป็นผู้รับหมาย และบอกว่าเป็นคนดูแล เมื่อตรวจพบยาเสพติดต้องแจ้งข้อหาตามหลักฐาน

ส่วนกรณีไม่ได้ดำเนินคดีฐานฟอกเงิน พล.ต.ท.ธิติ ระบุว่า เรื่องหลักฐานเส้นทางการเงิน ตำรวจได้ส่ง ปปง. ตรวจสอบ เพื่อดำเนินคดีตามความผิดฐานฟอกเงินถึง 2 ครั้ง ยืนยันตำรวจมีการตั้งมูลฐานที่จะดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน แต่ทุกอย่างต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานมาตลอด

ตรวจยึดโรงแรมดีวาลักษณ์ เชื่อมโยง “ตู้ห่าว”
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยนายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโรงแรมดีวาลักซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ดีวาลักซ์ รีสอร์ทแอนด์สปา จำกัด หมู่ 3 ต.ศีรษะจรเข้น้อย อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม และแจ้งเข้าควบคุมกิจการ โดยเลขาธิการ ป.ป.ส. อาศัยอำนาจตามมาตรา 73 วรรคสอง ประกอบมาตรา 68 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของนายตู้ห่าว และแจ้งคำสั่งอายัดทรัพย์สินของบริษัท ดีวาลักซ์ รวมทั้งโฉนดที่ดินที่ตั้งของโรงแรมดังกล่าวจำนวน 5 แปลง รวมเนื้อที่ 37 ไร่ มูลค่ากว่า 2,970 ล้านบาท รวมทั้งรายได้อื่นใดที่อาจเกิดขึ้นหลังจากรับทราบคำสั่งนี้ และอายัดบัญชีธนาคารและบัญชีกองทุนในชื่อของนางพัชรินทร์ ในฐานะกรรมการบริษัทดังกล่าว อีกจำนวน 7 บัญชี โดยมีนางพัชรินทร์รับทราบคำสั่ง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนเหนือ-กลาง-ตะวันออก ฝนตกหนักบางแห่ง กทม.ฟ้าคะนอง 70%

กรุงเทพฯ 18 ก.ค. – กรมอุตุฯ เตือนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 70% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

เสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก”

17 ก.ค. – หลายหน่วยงานรวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” โดย บมจ.อสมท นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” ยอมรับว่า นับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบมายังไทย จากภาษีศุลกากรของสหรัฐกระทบมายังประชาชน ผู้ผลิต เอสเอ็มอีรายย่อย ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงต้องร่วมมือกันปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” โดยได้จัดเวทีใหญ่ให้ผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ และภาคเอกชน มาร่วมแสดงความเห็น ด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ เกาะติดมาตรการกระทรวงการเงินการคลัง พลิกฟื้นกำลังซื้อในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจ และสงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ ว่าทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กำหนดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงค่ำวันนี้ ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้ง 2 มิติ คือ ผลกระทบที่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกร รัฐบาลไม่มอง เพียงจะเจรจาภาษีได้เท่าไหร่ ยอมรับไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่จะสานประโยชน์ให้ตกกับทุกฝ่าย […]

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย