กรุงเทพฯ 13 ต.ค. – เลขาธิการ ป.ป.ส. ยอมรับปัญหายาบ้าระบาดหนักเพราะราคาถูกเป็นเรื่องจริง เพราะรูปแบบการผลิต-การขนส่งเปลี่ยนไป จากเดิมยาบ้า 1 เม็ด ต้องใช้เงินมากกว่า 25 บาท ปัจจุบันต้นทุนอยู่ที่เม็ดละ 50 สตางค์ เร่งแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
ปัญหายาเสพติดกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะยาบ้าที่กำลังระบาดหนักอยู่ในขณะนี้ หลายคนระบุว่าเพราะราคายาบ้าถูกกว่าราคาไข่ไก่ หาซื้อได้ง่ายกว่าขนม เพราะมีขายเกลื่อนเมือง เจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาจริงเอาจัง และบทลงโทษต่ำ ทำคนซื้อ และคนขายไม่เกรงกลัวกฎหมาย
เรื่องนี้ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ยอมรับว่าปัญหายาบ้าระบาดหนักเพราะราคาถูกนั้นเป็นเรื่องจริง สาเหตุที่ทำให้ยาบ้ามีราคาถูกมาจากหลายปัจจัย
ปัจจัยแรก การผลิตทันสมัยขึ้น เดิมเครื่องอัดเม็ดยาบ้าเป็นระบบตอกด้วยมือ ผลิตเพียง 2,700 เม็ดต่อวัน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้มีเครื่องจักรกลเข้ามาแทนที่คน อย่างเครื่องไฮดรอลิก 30 หัวตอก ผลิตครั้งหนึ่งได้มากถึงเกือบ 300,000 เม็ดต่อวัน
ปัจจัยที่สอง สารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาบ้า จากเดิมเคยใช้เมทแอมเฟตามีน แต่ถูกทางการสกัดจับ และกลายเป็นสารต้องห้าม จึงเปลี่ยนไปใช้สารอื่นทดแทน จนปัจจุบันมาใช้โซเดียมไซยาไนด์ ซึ่งใช้กันอยู่ในธุรกิจเหมืองแร่ แต่ผู้ผลิตยาเสพติดนำมาสกัดเป็นสารพีรูพี ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตยาบ้าและยาไอซ์ ซึ่งสารตัวนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยผูกขาดการนำเข้าและส่งออกแต่เพียงผู้เดียว ราคาถูกกิโลกรัมละไม่ถึง 100 บาท นำมาผลิตยาบ้าได้มากถึงกว่า 20,000 เม็ด และผลิตยาไอซ์ได้ถึงครึ่งกิโลกรัม
ปัจจัยที่สาม มาจากค่าขนส่ง เดิมการจะขนส่งยาเข้าไทยมาจากพื้นที่ชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้าน ต้องอาศัยแรงงานคน ค่าขนเม็ดละ 3 บาท 1 กิโลกรัม มี 10,000 เม็ด ต้องใช้เงินค่าจ้างขนถึง 30,000 บาท แต่ในปัจจุบันการขนส่งมีรูปแบบหลากหลาย และหนึ่งในนั้นคือการส่งพัสดุ ซึ่งราคาถูก แค่กิโลกรัมละ 80 บาท
จากหลายปัจจัยทำให้จากเดิมที่ต้นทุนผลิตยาบ้า 1 เม็ด ต้องใช้เงินกว่า 25 บาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่เม็ดละ 50 สตางค์เท่านั้น เมื่อยาบ้าที่ผลิตได้มีปริมาณสูง บวกกับสารเคมีที่ใช้มีราคาต่ำ บวกค่าขนส่งที่ถูก จึงทำให้ราคาขายถูกตามไปด้วย
แนวทางแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่ต้นทาง คือการควบคุมสารโซเดียมไซยาไนด์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งออกมาตรการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสารตั้งต้นตัวนี้ ต้องสำรวจว่ามีการใช้งานจริงในประเทศจำนวนเท่าไร และอนุญาตให้นำเข้าเท่านั้น น่าจะได้ผลมากกว่าการสกัดจับ ซึ่งเป็นปลายทาง เพียงอย่างเดียว
สำรับอัตราการนำเข้าสารโซเดียมไซยาไนด์ในประเทศไทย ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 64 ถึง 30 กันยายน นำเข้าโดยบริษัทเอกชน จำนวน 1,156 ตัน
ขออนุญาตส่งออกโดยบริษัทเดียวกัน และพื้นที่ส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ และพื้นที่ของ 7 ชนกลุ่มน้อย จำนวน 810 ตัน เท่ากับโซเดียมไซยาไนด์ ที่ใช้อยู่ในประเทศมีเพียง 300 กว่าตันเท่านั้น
โซเดียมไซยาไนด์ 1 กิโลกรัม ผลิตยาบ้าได้ 20,000 เม็ด และผลิตไอซ์ได้ครึ่งกิโลกรัม แต่นี่โซเดียมไซยาไนด์ 810 ตัน ซึ่งโซเดียมไซยาไนด์ที่ถูกส่งออกไป 30% นำมาผลิตยาบ้า ส่วนที่เหลือนำไปผลิตยาไอซ์
เลขาฯ ป.ป.ส. วอนศึกษา กม.ยาเสพติดใหม่ก่อนวิจารณ์
เลขาธิการ ป.ป.ส. ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ที่มีการแก้ไขฉบับใหม่ เปลี่ยนแปลงจาก “ครอบครองยาเสพติดเกิน 15 เม็ด ให้ถือว่ามีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย” กลายเป็น “ครอบครองยาเสพติดเกิน 15 เม็ด ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย” ซึ่งทั้งนักกฎหมายและประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น กฎหมายใหม่ฉบับนี้ยังไม่ได้ประกาศใช้ อยู่ในชั้นกฤษฎีกา ซึ่งกำหนดอัตราโทษสูงมาก จึงอยากให้ศึกษาข้อกฎหมายก่อนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ที่สำคัญกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่นี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนของยาเสพติด แต่จะดูพฤติการณ์ของผู้ครอบครองยาเป็นหลัก หากถูกจับพร้อมยา 15 เม็ด ตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง เจ้าหน้าที่ต้องสืบเสาะให้ได้ความชัดเจนว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์อย่างไร เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างไร หากพบเป็นเพียงผู้เสพจะเข้าสู่กระบวนการบำบัด แต่หากไม่สมัครใจทำการบำบัด ต้องถูกดำเนินคดีฐานครอบครองยาเสพติด ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 1-2 ปี หากสมัครใจเข้าสู่การบำบัดจะต้องรับการบำบัดครบหลักสูตร แต่หากจับได้เพียง 1 เม็ด แต่การสืบเสาะพบเป็นผู้ค้า จะถูกดำเนินคดีฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย อัตราโทษจำคุก สูงถึง 15 ปี ที่สำคัญต่อให้พบยาเพียง 1 เม็ด แต่หากพัวพันกับการค้ายาเสพติด จะถูกยึดทรัพย์ทันที เช่นเดียวกับคนรับจ้างขนยา ต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย.-สำนักข่าวไทย