12 ก.ย. – ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก “ราเกซ สักเสนา” รับโทษสูงสุดตามกฎหมายในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์บีบีซี
วันนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีที่พนักงานอัยการ โจทก์ยื่นฟ้องนายราเกซ สักเสนา (Rakesy Saxena) จำเลย ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 รวม 3 สำนวน
กรณีระหว่างปี 2537-2539 จำเลยซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี กับพวก ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ซึ่งร่วมกันโดยทุจริตใช้บัตรอนุมัติให้สินเชื่อเกินบัญชีเกินกว่า 30 ล้านบาท กับเอกชนได้แก่ บริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง โดยการอนุมัติดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน และได้อนุมัติโดยผู้ขอสินเชื่อ ไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ตลอดจนไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย และจำเลยกับพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวก และนายเกริกเกียรติโดยทุจริต ซึ่งภายหลังการกระทำความผิด จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ชดใช้เงินให้แก่ธนาคารผู้เสียหายบางส่วนโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 722,136,005.03 บาท และจำนวน 1,427,195,799.92 บาท กับจำนวน 353,363,966 บาท แก่ธนาคารผู้เสียหายด้วย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 307, 308, 311 ประกอบมาตรา 315 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ให้ลงโทษ ฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท ในสำนวนแรก 60 กระทง ในสำนวนที่สอง 6 กระทง ในสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง เป็นจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และปรับ 33,500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,29/1, 30 และให้จำเลยร่วมกันคืนโดยใช้เงิน ในสำนวนคดีแรกจำนวน 722,136,005.03 บาท ในสำนวนที่สองจำนวน 1,427,195,799.92 บาท และในสำนวนที่สามจำนวน 353,363,966 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1817/2555 ของศาลชั้นต้น
จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โดยจำเลยได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาชั้นฎีกา เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกา. – สำนักข่าวไทย