กรุงเทพฯ 17 ส.ค.- ขุนคลัง ย้ำดอกเบี้ยขาขึ้นขอแบงก์ตรึงดอกเบี้ยลดผลกระทบรายย่อย นักเศรษฐศาสตร์ แนะระวังปัจจัยเสี่ยง การเมืองไทย สงครามการค้าจีน-สหรัฐ เศรษฐกิจโลกถดถอย แม้ไทยเริ่มฟื้นตัว แต่กำลังซื้อชนบทยังหดหาย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา “ถอดรหัสลงทุน ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” จัดโดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ว่า แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น กระทรวงคลังต้องดูแลหาช่องทางลดภาระหนี้ภาคครัวเรือน ด้วยการให้แบงก์รัฐและธนาคารพาณิชย์ ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี เพื่อลดภาระลูกค้าโดยเฉพาะรายย่อย และในช่วงนี้ต้องมองหาโอกาส ด้วยการระดมทุนผ่านกรีนบอนด์ เตรียมเสนอในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังเอเปค เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนระดมทุนผ่านกรีนบอนด์มากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องใช้มาตรการภาษีส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งแบตเตอรี่ และช่วยเหลือทุกห่วงโซ่ การส่งเสริมสินค้าดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ของยุคปัจจุบัน
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ความผันผวนของเศรษฐกิจในปีนี้ ทำให้กองทุน IMF ทบทวน จีดีพี ถึง 5 ครั้ง ล่าสุด จีดีพีไทยในปี 65 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ปี66 ขยายตัวร้อยละ 4 ขณะที่ CIMB มองว่า จีดีพี ขยายตัวร้อยละ 3 และในปี 66 ขยายตัวร้อยละ 4 ขณะที่ ธปท. มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเริ่มฟื้นตัว แบงก์ชาติ จึงต้องปรับเพิ่มดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ในปีหน้า จึงต้องดึงการลงทุนเข้ามาในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้เหมือนก่อนเกิดปัญหาโควิด-19
โดยในปีนี้ ต้องระวังความเสี่ยง ทั้งอัตราเงินเฟ้อสูง ทำให้กำลังซื้อลดลง ค่าเงินบาทอ่อน กระทบต่อการส่งออกปัญหาการเมือง อาจเลือกตั้งใน 6 เดือนข้างหน้า ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน การใช้จ่ายภารคัฐ อาจชะลอไปด้วยเพื่อรอความชัดเจนนโยบายรัฐหลังการเลือกตั้ง ความขัดแย้ง สงครามทางการค้าจีน-สหรัฐ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ยอมรับว่า ขณะนี้เร่ิมเห็นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ไม่กระจายตัวไปยังชนบท กำลังซื้อของประชาชนรายย่อยยังหดหาย เป็นเพียงการฟื้นตัวของภาคเอกชน ในบางส่วน จึงเป็นเหมือนทุเรียน “กรอบนอกนุ่มใน” แต่ไทยยังมีความหวังจากการส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 7 การท่องเที่ยวเร่ิมฟื้นตัว หลังต่างชาติเร่ิมเดินทางเข้าไทยมากขึ้น
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ยอมรับขณะนี้อยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เงินจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกตลาดต้องทำใจเจอปัญหาขาดทุนมากหรือน้อย เพราะหลายประเทศเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติ คือ ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยและความตึงตัวของนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม การประชุมของเฟด 20 กันยายนนี้ หากปรับเพิ่มร้อยละ0.5 จะเป็นข่าวดีต่อตลาดเงิน เพราะสหรัฐอาจคลายความกังวลจากเงินเฟ้อจึงไม่ขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง จะส่งผลดีต่อตลาดเงินโลก ส่วนการลงทุนในหุ้นน่าจับตา คือ หุ้นที่มีอำนาจต่อรองราคา หุ้นเทคโนโลยี หุ้นในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ามองว่าดันชีหุ้นไทยในปี 65 เคลื่อนไหวในระดับ 1,650-1,750 จุด .-สำนักข่าวไทย