กรุงเทพฯ 6 ก.ค. –ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าลดขยะ RDF (Refuse-Derived Fuel) ให้เหลือศูนย์ภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังลดการปล่อยคาร์บอนฯ จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 ตอกย้ำความเป็นผู้นำภาคการเงินด้านความยั่งยืน
นายพูนสิทธิ์ ว่องธวัชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรุงศรีฯ มุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบเพื่อบรรลุพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นผู้นำภาคการเงินที่ร่วมรณรงค์ด้านการรักษาสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ ผ่านโครงการ Krungsri Zero Waste ซึ่งได้รับการบรรจุเป็นแผนพัฒนาเข้าด้วยกันกับกระบวนการดำเนินธุรกิจของธนาคารอย่างไร้รอยต่อ โดยในปี 2564 กรุงศรีได้ปักหมุดเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีจุดยืนเพื่อความยั่งยืน ด้วยประกาศวิสัยทัศน์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Krungsri Carbon Neutrality Vision) พร้อมแผนงานในการเร่งลดคาร์บอนที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
โดยในปี 2565 นี้ ในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน กรุงศรี ได้ปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัลให้มากขึ้น ใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่า พร้อมกับการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากการดำเนินโครงการ Care the whale ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสมาชิกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย RE100 Thailand ติดตั้งเครื่องกำจัดเศษอาหารที่ธนาคารกรุงสรี สำนักงานเพลินจิต นอกจากนี้ ยังต่อยอดปฏิบัติการ Krungsri’s Race to Net Zero ด้วยการตั้งเป้าหมายลดขยะ RDF (Refuse-Derived Fuel = ขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลแต่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้) ให้เหลือศูนย์ภายในสิ้นปีนี้ และจะขยายแนวคิดนี้สู่วงกว้างด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรองค์กรต่าง ๆ ในการรณรงค์ลดขยะ RDF ในปี 2568 โดยจะเริ่มจากองค์กรขนาดใหญ่บนถนนเพลินจิต และในปี 2573 ตั้งเป้าเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 รวมถึงลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการดำเนินงานของธนาคาร และลดการปล่อยคาร์บอนฯ จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 โดยจะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาตลาดการเงินยั่งยืนและการเงินสีเขียวในประเทศไทย.-สำนักข่าวไทย