กรุงเทพฯ 24 มิ.ย.- ประเทศไทยเตรียมเสนอปรับบัญชี CITES จระเข้น้ำจืดของไทย จากบัญชี 1 เป็นบัญชี 2 ต่อที่ประชุม CITES CoP19 ปลายปีนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการค้าจระเข้ไทยส่งออกได้สะดวก และลดการกีดกันทางการค้า
นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 19 (CITES CoP19) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ สาธารณรัฐปานามา ระหว่างวันที่ 14-22 พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยจะเสนอปรับลดบัญชีจระเข้น้ำจืดของไทย (Crocodylus siamensis) จากบัญชี 1 เป็นบัญชี 2 ภายใต้อนุสัญญา CITES ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 ณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ประชุมคณะรัฐมนตรีตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ ตามกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ พ.ศ. 2546 และเป็นชนิดที่อยู่ในบัญชี 1 (Appendix I) ตามบัญชีท้ายอนุสัญญา CITES ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการเพาะเลี้ยงจระเข้น้ำจืดทั่วประเทศ โดยมีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ค้า ครอบครอง และเพาะพันธุ์ที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 จำนวน 1,415 ราย รวม 1,263,360 ตัว (ข้อมูลปี พ.ศ. 2564) ข้อกำหนดในการส่งออกตามบัญชี 1 ที่จะต้องขอนุญาตจาก CITES แต่หากปรับลดชนิดพันธุ์มาอยู่ในบัญชี 2 (Appendix II) ผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้เลย ซึ่งจะช่วยทำให้การค้าระหว่างประเทศเกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น
การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์จระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยในฟาร์มมีมายาวนานกว่า 20 ปี และมีการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะเลี้ยงจระเข้เพื่อการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลทำให้เกิดธุรกิจการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์จระเข้ ทั้งฟาร์มขนาดเล็กและฟาร์มขนาดใหญ่ทั่วประเทศ รวมทั้งมีธุรกิจต่อเนื่อง ในการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์จระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย ได้แก่ การซื้อ-ขายจระเข้มีชีวิต เนื้อจระเข้ ไข่จระเข้ และหนังจระเข้ในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และธุรกิจเกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว กิจการสวนสัตว์เอกชน มูลค่าการส่งออกจระเข้ของไทยในปี พ.ศ. 2561-2562 (ก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) มีมูลค่ามากกว่า 7,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พยายามผลักดันข้อเสนอเร่งด่วนดังกล่าวของกรมประมง เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หากประเทศไทยสามารถขอปรับลดสถานะจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย ในการประชุม CITES CoP19 ได้สำเร็จ จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเป็นผลในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยในตลาดโลก และยังลดการกีดกันทางการค้ากับกลุ่มประเทศในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังสามารถใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย
ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการเพาะเลี้ยงจระเข้ให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยเสนอ ครม.อนุมัติงบประมาณกว่า 1,800 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้เพาะเลี้ยงจระเข้และผู้ประกอบธุรกิจต่อเนื่อง ภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องฯ อีกทั้งยังเน้นย้ำให้กรมประมงหาแนวทางการส่งเสริมตลาดการค้าจระเข้ไทยให้เป็นที่เชื่อมั่นของตลาดโลก เป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้า การขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาอาชีพของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจระเข้ ก่อให้เกิดธุรกิจที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของไทย.-สำนักข่าวไทย
