ยังไม่จบ เก็บกำไรโรงกลั่นฯ เข้ากองทุนน้ำมัน

กรุงเทพฯ 20 มิ.ย. – ประชุมร่วมโรงกลั่นฯ- ก.พลังงาน ไม่จบ ทุกฝ่ายหวั่นถูกฟ้อง เสนอ กบน. ตั้งคณะทำงานศึกษาเพื่อออกระเบียบตามกฎหมายให้รอบคอบ ไม่ชัดว่าจะเก็บเงินถึง 2 หมื่นล้านบาท ด้านกองทุนน้ำมันฯ ติดลบทะลุ 9.6 หมื่นล้าน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมร่วมระหว่างโรงกลั่นน้ำมันและกระทรวงพลังงาน โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในวันนี้ (20 มิ.ย.) เพื่อหารือเรื่องการขอแบ่งกำไรจากโรงกลั่นฯ ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า การดำเนินการได้นั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีการฟ้องร้องกันตามมา ไม่ว่าจะเป็นระดับการทำงานของโรงกลั่น, ผู้ถือหุ้น โดยขั้นตอนของโรงกลั่นฯ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการของแต่ละบริษัทเสียก่อน โดยทางกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่าสามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯ มาตรา14 (4) และมาตรา 27 (1) ที่จะมีการเก็บเงินจากโรงกลั่นฯ เข้ากองทุนน้ำมัน ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้ข้อสรุปว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะต้องตั้งคณะทำงานมาศึกษาและกำหนดรายละเอียด เพื่อออกระเบียบกองทุนน้ำมันในการเรียกจัดเก็บที่ถูกต้อง

“วงเงินที่โรงกลั่นน้ำมันจะต้องจ่ายเข้ากองทุนน้ำมันฯในช่วง 3 เดือนนี้ (ก.ค.-ก.ย.65) ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นเท่าใด โดยโรงกลั่นฯ ระบุว่าการให้ความร่วมมือก็ต้องถูกกฎหมายเช่นกัน โดยต้องดูหลายด้านเพราะกระทบผู้ถือหุ้น ที่ส่วนหนึ่งเป็นประชาชนทั่วไปเช่นกัน และหลักเกณฑ์การคำนวณก็ยังไม่ชัดเจน โดยตัวเลขที่ระบุว่าจะสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทนั้นก็เป็นเพียงตุ๊กตาที่ ก.พลังงานคิดมาเบื้องต้นเท่านั้น ส่วนที่มาตรการลดค่าครองชีพที่เสนอ ครม. พรุ่งนี้ (21 มิ.ย.) จะเป็นกรอบเบื้องต้น และคณะทำงานร่วมจะหารือในรายละเอียดต่อไป” รายงานข่าวระบุ


ด้านที่ประชุม กบน. วันนี้ ได้เห็นชอบนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 0.59 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. เป็นต้นไป เพื่อตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 34.94 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ อุดหนุนดีเซลอยู่ที่ 11.84 บาทต่อลิตร ขณะที่ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2565 ฐานะสุทธิกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบแล้ว 96,598 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 59,692 ล้านบาท บัญชีแอลพีจีติดลบ 36,906 ล้านบาท โดยขณะนี้การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลยังคงมีอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวขึ้นสูง

“คาดกองทุนน้ำมันฯ จะติดลบระดับแสนล้านบาท ภายในสิ้น มิ.ย. ทำสถิติติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากก่อนหน้ายุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทำไว้ติดลบ 92,070 ล้านบาท เนื่องจากราคารอบนี้สูงยาวนาน ด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงมีแนวโน้มยืดเยื้อ” แหล่งข่าวระบุ .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง