กรุงเทพฯ 17 มิ.ย.-กลุ่มโรงกลั่นร่วงแรงต่อเนื่องหลัง รัฐบาลขอความร่วมมือ ส่งกำไรค่าการกลั่นรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท ร่วมลดราคาพลังงานแก่ประชาชน โบรกเกอร์แนะลงทุนได้ต่อ เพราะไตรมาส 2 -3 ปีนี้กำไรยังดี
ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และ บมจ.ปตท. ในเช้านี้ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องแม้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะปรับต้วขึ้นก็ตาม เหตุผลจากที่ รัฐบาลขอความร่วมมือส่งกำไรส่วนเกินปกติประมาณร้อยละ 50 ของทั้งค่าการกลั่นฯและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. เก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นส่วนในการดูแลราคาน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม ทั้งนี้ ช่วงปิดตลาด ปิดตลาดช่วงเช้า
PTT ลบ 2.16% หรือลดลง 0.75 บาท มาที่ 34.00 บาท
SPRC ลบ 9.60% หรือลดลง 1.20 บาท มาที่ 11.30 บาท
BCP ลบ 6.98% หรือลดลง 2.25 บาท มาที่ 30.00 บาท
TOP ลบ 6.10% หรือลดลง 3.25 บาท มาที่ 50.00 บาท
IRPC ลบ 4.24% หรือลดลง 0.14 บาท มาที่ 3.16 บาท
PTTGC ลบ 3.87% หรือลดลง 1.75 บาท มาที่ 43.50 บาท
ESSO ลบ 5.08% หรือลดลง 0.60 บาท มาที่ 11.20 บาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะให้หลีกเลี่ยงการลงทุน กลุ่มพลังงาน จนกว่าจะมีความชัดเจนหลังมาตรการความชัดเจนจะผ่านความเห็นชอบ จาก ครม.วันที่ 21 มิ.ย. นี้ โดยเม็ดเงินที่ขอความร่วมมือรวม 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.) รวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท นับว่า สูงกว่าปี 2551 ที่ขอบความร่วมมือ ราว 2 พันล้านบาท ผลกระทบจะบั่นทอนกลุ่มโรงกลั่นฯราว2-6% ซึ่งขึ้นกับ โรงกลั่นที่รัฐไม่ได้ถือหุ้นคือ SPRC และESSO ว่าจะให้ความร่วมมือในโครงการนี้ด้วยหรือไม่ หากไม่ให้ความร่วมมือ ทางกลุ่ม ปตท.ประกอบด้วย PTT ,IRPC,TOP ,PTTGC รวมไปถึง BCP ก็จะได้รับผลกระทบในสัดส่วนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มปั๊มน้ำมัน ยังได้รับผลกระทบจากการตรึงค่าการตลาดดีเซล 1.40 บาท/ลิตร ยาวนาน 3 เดือนอีกด้วย
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ข้อเสนอขอความร่วมมือภาครัฐสูงเหนือคาดหมายเป็นผลตอบรับเชิงลบต่อราคาหุ้นโรงกลั่นและปตท.ซึ่งจะเห็นได้จากราคาหุ้นลดลง แต่ยังแนะนำให้ซื้อกลุ่มโรงกลั่นฯ เพราะกรณีนี้ไม่ได้กระทบต่อผลประกอบการไตรมาส2 /65 ที่ค่าการกลั่นยังสูงประมาณ 10-20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนไตรมาส3/65 ความร่วมมือกับภาครัฐก็จะกระทบบ้าง แต่กลุ่มโรงกลั่นฯยังคงมีกำไรอยู่จากค่าการกลั่นที่สูง โดยความร่วมมือนี้กจะกระทบต่อโรงกลั่นแตกต่างกันไปตามปริมาณน้ำมันที่จำหน่าย โดยบางจากฯกระทบต่ำสุดประมาณ 10 % ส่วน TOP กระทบสูงสุดราว 25 % แต่หาก SPRC และ ESSO ไม่ให้ความร่วมมือ ผลกระทบก็ของโรงกลั่นที่ภาครัฐถือหุ้นก็จะสูงกว่านี้
ทั้งนี้ประเมินว่า จากมาตรการรัฐขอเงินช่วยเหลือดีเซล 5-6 พันล้านบาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน เทียบเท่าเงินอุดหนุนรวมสูงสุด 15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หรือ 3 บาท/ลิตร โดยคำนวณจาก ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลในประเทศไทยที่ราว 60 ล้านลิตรต่อวัน
ส่วนน้ำมันเบนซิน ขอความร่วมมือ 1 พันล้านบาท/เดือนรวม 3 เดือน เพื่อลดราคากลุ่มเบนซิน 1 บาท/ลิตร นั้น ประเมินเทียบเท่าค่าการกลั่น 5 เหรียญ/บาร์เรล หรือ 1 บาท/ลิตร คำนวณจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน 20 ล้านลิตรต่อวัน ณ อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/เหรียญสหรัฐ
สำหรับโรงแยกก๊าซ ปตท.ที่รัฐขอความร่วมมือ ราว 500-1,000 ล้านบาท/เดือน ส่วนใหญ่มาจากส่วนต่างของอีเทน โพรเพน และ NGL ที่ขายเป็นวัตถุดิบสำหรับ PTTGC เพื่อผลิต PE และ PP โดยสัดส่วนที่มีการผลิตก๊าซหุงต้มจากโรงแยกก๊าซ มีสัดส่วนประมาณ 20-30%
“เราคาดว่าผลกระทบจากเงินอุดหนุนจากมากไปน้อยจะเป็น TOP, IRPC และ BCP เราประมาณการว่ากำไรด้านลบจะอยู่ที่ 1-2 พันล้านบาทสำหรับผู้กลั่นแต่ละราย สำหรับ SPRC และ ESSO ทั้งสองบริษัท ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยบริษัทในสหรัฐอเมริกานั้น มีโอกาสน้อยที่จะปฏิบัติตามคำขอ ซึ่งเหตุการณ์ขอความร่วมมือเมื่อปี 2551 ที่ช่วงนั้นราคาน้ำมันดิบแตะ140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ช่วงนั้น 2 โรงกลั่นนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำขอของรัฐบาลแต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม หากทั้ง SPRC และ ESSO จะต้องปฏิบัติตาม เราคาดว่า SPRC และ ESSO จะเห็นกำไรสุทธิลดลง 1-2 พันล้านบาทในไตรมาส 3/22” นายสุวัฒน์ระบุ
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า มาตรการขอเงินอุดหนุนจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซฯ ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อผลกระทบกำไรของกลุ่มพลังงานฯ และกดดันราคาหุ้น ในช่วงที่รอข้อสรุปมาตรการ โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น คาดจะกระทบกำไรกลุ่มโรงกลั่น 20% – 165% กระทบ IRPC มากสุด และ ตลาดอาจกังวลว่ารัฐอาจต้องการเงินอุดหนุนยาวนานมากกว่า 3 เดือน
“เรามองสุดท้ายผลกระทบต่อกำไรอาจไม่ได้มากเท่าตัวเลขเงินอุดหนุนที่รัฐคาดหวัง เพราะเป็นการขอความร่วมมือ ไม่ใช่การบังคับ ซึ่งโรงกลั่นสุดท้ายอาจไม่สามารถให้ได้ตามที่รัฐคาดหวัง เพราะ คาดต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนพลังงาน, ค่าใช้จ่ายพนักงาน, ขาดทุนอนุพันธ์ และกระแสเงินสดที่ต้องสำรองเพื่อรับความผันผวนของตลาดพลังงานในอนาคต รวมถึงผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น มองหลังข้อสรุปมาตรการชัดเจน เป็นโอกาสซื้อสำหรับ TOP และ PTTGC ที่ราคาหุ้นลดลงมากกว่าผลกระทบต่อหุ้นไปแล้ว” นายกรภัทร ระบุ .–สำนักข่าวไทย