กรุงเทพฯ 17 มิ.ย.65 –กรุงเทพฯ 17 มิ.ย.65 –Kbank Private Banking ชี้เศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังของปี 2565 อาจชะลอตัวแบบซอฟท์แลนดิ้ง ตลอดจนอยู่ในจุดวัดใจ โดยมีโอกาสขึ้น-ลง 50-50 มองทิศทางค่าเงินบาทยังอ่อนค่าต่อ หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แนะกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ยามตลาดผันผวน
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย ประเมินทิศทางของค่าเงินบาทภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด ที่ 0.75 % โดยเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า แต่จะปรับขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าเฟดปรับขึ้นซึ่งจะส่งผลทำให้เงินบาทจากนี้ อ่อนค่าลงได้อีก โดยขณะนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกำลังพิจารณาตัวเลขที่น่าจะเป็น
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากการที่ Lombard Odier ผู้ให้บริการไพรเวทแบ็งค์ระดับสากล วิเคราะห์ตัวชี้วัด 250 ตัว ล่าสุด พบข้อมูลที่บ่งชี้ว่า โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยเกิดขึ้นได้ 49 % และโอกาสเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ที่ 51 % ถือว่า เศรษฐกิจอยู่ในจุดหักเหพอดี หากตัดเส้น 50 ลง ตลาดหุ้นมีโอกาสถดถอย 12 % แต่หากตัดขึ้นมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะเติบโตได้ 10-15 % เท่ากับ มีโอกาส 50 -50 อย่างไรก็ตามคาดว่า เฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75 % ในเดือนกรกฎาคม และจะขึ้น 0.5 % ในเดือนกันยายน ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ปลายปีนี้ จะปรับขึ้นอีก 0.25 % และจะเห็นแสงสว่างช่วงปลายปี พร้อมแนะนำ นักลงทุนให้กระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นคุณค่า หุ้นจีน พันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว และสินทรัพย์ทางเลือก ขณะเดียวกัน ไม่แนะนำให้เก็งกำไรค่าเงิน เพราะเปลี่ยนแปลงเร็วเป็นรายนาที สิ่งที่ทำได้อยากมากที่สุด คือการป้องกันความเสี่ยง
ด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director-Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า นับจากนี้ เศรษฐกิจจะเป็นซอฟแลนด์ดิ้งหรือภาวะถดถอยซึ่งให้มองที่ตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและจีน โดยสหรัฐยังมองภาพรวมเติบโตแข็งแกร่ง คนตกงานน้อยมาก ค่าแรงยังเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายดี แต่ตัวเลขเงินเฟ้อยังพุ่งขึ้นไม่หยุด สาเหตุส่วนหนึ่งคือ ราคาพลังงานและราคาอาหารที่พุ่งขึ้น ถึงวันนี้ เงินเฟ้อยังไม่มีท่าทีหยุด ทำให้ธนากลางสหรัฐ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ล่าสุดขึ้น 0.75 % คาดการณ์ว่า จะขึ้นอีกอย่างน้อย 2 ครั้งคือ 0.75 และ 0.5 % ทำให้เห็นความต้องการซื้อบ้านในสหรัฐเริ่มชะลอ ล่าสุดจีนเริ่มผ่อนคลายท่าทีเกี่ยวกับนโยบายโควิด แต่ยังระมัดระวัง เพราะหากมีการล็อกดาวน์อีกครั้ง จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ส่วนแนวโน้มสงครามรัสเซีย-ยูเครนประเมินว่า จะยืดเยื้อไปเรื่อยๆ แต่ยังคงอยู่ในวงจำกัดที่ยูเครนและรัสเซีย ทำให้ต้องปรับประมาณการณ์ตัวเลข จีดีพี เศรษฐกิจโลกลดลงอีก 0.5 % เพราะทำให้ราคาน้ำมัน ราคาพลังงานและราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น พร้อมมองว่า ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อ จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนลงอีก จากเดิมที่นักวิเคราะห์ระบุว่า ไทยจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ท่าทีล่าสุดเชื่อว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน.-สำนักข่าวไทย