กรุงเทพฯ 2 มิ.ย.- ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผยราคาสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2565 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศ เปิดสถานบันเทิง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,896-9,046 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.37-5.12 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาดลดลงจากการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังรอบที่ 1 และแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ประเทศคู่ค้านำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 12,604-12,799 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.72-3.29 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศคู่ค้าในตะวันออกกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ อิรัก อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย จึงต้องการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 8,744-8,806 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.35-1.07 เนื่องจากมีความต้องการใช้ในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ประกอบกับความต้องการนำเข้าข้าวเหนียวของจีนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในเทศกาลแข่งขันเรือมังกร ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 10.17-10.33 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.92-2.51 เนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นยังอยู่ในระดับสูง แม้จะมีมาตรการลดภาษีนำเข้า แต่คาดว่าราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์บางประเภทยังสูงกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ จึงทำให้ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้น
น้ำตาลทรายดิบ ราคาอยู่ที่ 20.45-20.98 เซนต์/ปอนด์ (15.41-15.81 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.35-7.45 เนื่องจากอินเดียจำกัดการส่งออกน้ำตาล เพื่อแก้ปัญหาราคาและปริมาณน้ำตาลให้เพียงพอบริโภคภายในประเทศ ซึ่งอินเดียเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ประกอบกับราคาน้ำมันดิบยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง กระตุ้นให้ผู้ประกอบการเพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตเอทานอล ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 10.91-11.15 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.90-6.19 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้พืชพลังงานทดแทน โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น สุกร ราคาอยู่ที่ 96.59-98.99 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.67-3.17 เนื่องจากปริมาณผลผลิตสุกรทั้งประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค และปัญหาต้นทุนการผลิตสุกรสูง ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงชะลอการเลี้ยงสุกร เพื่อลดความเสี่ยง ทำให้ปริมาณสุกรในประเทศลดลง ขณะที่การบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานบันเทิงเริ่มกลับมาเปิดได้ตามปกติ
โคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 100.20-105.85 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.10-5.74 เนื่องจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบกับสถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะ กลับมาเปิดดำเนินกิจการ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคอาหาร รวมถึงเนื้อโคปรับตัวเพิ่มขึ้น กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/กก.) ราคาอยู่ที่ 155.37-156.38 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.55-2.21 เนื่องจากมาตรการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ สนับสนุนให้การท่องเที่ยวในประเทศค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหาร ประกอบกับการส่งออกกุ้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความต้องการของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.40-2.48 บาท/กก. ราคาลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.80-4.00 เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงงานแป้งมันสำปะหลังเริ่มปิดปรับปรุงเครื่องจักรในช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ทำให้การซื้อขายมันสำปะหลังลดลง ประกอบกับเป็นช่วงต้นฤดูฝนที่มีฝนตกชุกและตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ผลผลิตมันสำปะหลังมีคุณภาพเชื้อแป้งลดลง ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 59.25-60.93 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.10-2.85 เนื่องจากปริมาณยางพาราเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยแหล่งผลิตยางพาราที่สำคัญของประเทศในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มเปิดกรีดยาง ประกอบกับราคายางพาราตลาดล่วงหน้าโตเกียว มีแนวโน้มลดลงจากความกังวลเรื่องมาตรการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรป ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงมีการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น อาทิ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แทนการลงทุนในสัญญาซื้อขายยางพาราล่วงหน้า.-สำนักข่าวไทย