พรรคสร้างอนาคตไทย 29 พ.ค. – พรรคสร้างอนาคตไทย หวั่นใช้สมมติฐานเดิมจัดทำงบฯ ปี 66 สุ่มเสี่ยง แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ผล ทั้งเงินเฟ้อพุ่ง จีดีพีทรุด
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท เพิ่มจากงบฯ ปี 2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท รัฐบาลยังใช้สมมติฐานเดิมของสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมา ในการจัดทำงบประมาณ ทั้งคาดการณ์จีดีพีโตร้อยละ 4.5 แต่ขณะนี้สภาพัฒน์ คาดการณ์จีดีพีเติบโตเพียงร้อยละ 2.5-3.5 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1.5-2.5 แต่ขณะนี้เงินเฟ้อร้อยละ 5 หากยังใช้สมมติฐานเหล่านี้จัดทำงบฯ ปี 66 นับว่าสุ่มเสี่ยงต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ผล และในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ ความผันผวนเศรษฐกิจโลก นับเป็นพายุทรงพลังที่จะสร้างความเสียหายอย่างมาก หากยังใช้สมมติฐานเดิมในการจัดทำงบประมาณปี 66
เมื่อหลายประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรป เป็นห่วงปัญหาเงินเฟ้อ เพื่อปรับเพิ่มดอกเบี้ย แต่ไทยยังต้องการให้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงนับเป็นความท้าทายอย่างมาก การใช้งบประมาณแก้ปัญหาขณะนี้ ทั้งราคาน้ำมันแพง กระทบต้นทุนสินค้า ขณะที่เม็ดเงินดูแลใกล้หมด รายได้ภาษีไม่ได้ตามเป้าหมาย การใช้งบประมาณนับเป็นกลไกสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจชะลอตัวขณะนี้ หากยังไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้อาจมีปัญหาหนักมาก อีกทั้งหลายประเทศเริ่มชะลอการส่งออกอาหาร เพื่อเก็บสำรองไว้ใช้ในประเทศ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร จึงเริ่มมีปัญหาบานปลายต่อหลายประเทศ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า หลังจากได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีกระแสอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่น ขาดความคาดหวัง แต่แนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล กรณีฝ่ายค้านส่งสัญญาณใช้เรื่องการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 66 มาผลักดัน เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในส่วนพรรคสร้างอนาคตไทย คงต้องติดตามดูว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวอย่างไร หลังจากสภาฯ เริ่มนำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 66 มาพิจารณาวาระแรกในวันอังคารนี้
นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า พบข้อสังเกตการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 66 หลายด้านอาจเกิดความเสียหายได้ เช่น การจัดสรรงบลงทุนร้อยละ 21.82 แต่พบว่าลงทุนจริงได้เพียงร้อยละ 15.46 จึงอาจไม่ทำให้เกิดการลงทุนได้แท้จริงต่อการฟื้นเศรษฐกิจ การจัดสรรเป็นเงินอุดหนุน ยังไม่มีรายละเอียด ทำให้ตรวจสอบยากมาก มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 35.26 นับว่าเกิน 1 ใน 3 ของงบประมาณ ขณะที่งบกลางปี 66 มีสัดส่วนร้อยละ 18.50 จำนวน 590,470 ได้นำเอาเบี้ยหวัดบำนาญมารวมไว้ 330,000 ล้านบาท นับว่าเกินร้อยละ 50 ของงบกลางเพื่อดูแลข้าราชการ นับว่ากันเอาไว้มากเกินไป โดยเหลือไว้ใช้จ่ายฉุกเฉิน 92,400 ล้านบาท ไม่ถึงแสนล้านบาท หรือ 1 ใน 6 ของงบกลาง หากเจอปัญหาฉุกเฉิน เห็นได้จากปัญหาโควิด-19 บริหารงบแทบไม่ทัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาและเสนอ ครม.รับทราบ
สำหรับแผนบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน สำหรับแก้ปัญหาภัยแล้ง บริหารจัดการน้ำ โดยไม่มีตัวชี้วัดในการทำให้สัมฤทธิ์ผล จึงอยากให้ยกเลิก เพราะไม่ได้ใช้เป้าหมายจริง เพียงนำงบไปซุกซ่อนเอาไว้ ขณะที่การจัดซื้ออาวุธของกองทัพยังสูงนับหมื่นล้านบาท แม้การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการก็ยังไม่เห็นชัดเจน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันควรกันไว้ นำมาแก้ปัญหาปากท้อง น้ำมันแพง ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน. – สำนักข่าวไทย