เจาะลึกปัญหา “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” กับประโยชน์ผู้ใช้รถไฟฟ้า

กรุงเทพฯ 28 พ.ค. – เจาะลึกปัญหา “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” ท่ามกลางความหวังของประชาชนที่ต่างบ่นว่าค่าโดยสารแพง ขณะที่ “ชัชชาติ” ย่องเงียบลงพื้นที่แยกท่าพระซ้ำอีกรอบ


เจาะลึกปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกจับตาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2564 ถึงปัจจุบัน เพราะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานและราคาค่าโดยสารสายสีเขียว ที่เคยมีความเห็นต่างกันระหว่าง 2 กระทรวง คือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย ล่าสุดหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว กลับมาถูกจับตาอีกครั้งว่าจะมีทางออกไปในทิศทางใด

ทีมข่าวสำนักข่าวไทยลงพื้นที่สำรวจความเห็นผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าปัญหาที่อยากให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขมากที่สุดคือ “ค่าโดยสารแพง” อยากให้ปรับลดลงมาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพ รวมถึงอยากให้มีการพัฒนาระบบตั๋วโดยสารให้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ โดยไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน รวมถึงอยากให้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าครอบคลุมมากกว่านี้ ซึ่งหลายคนต่างตั้งความหวังว่าผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวกและประหยัดมากขึ้น เช่น ผู้โดยสารรายนี้บอกว่าต้องเดินทางมาทำงานในกรุงเทพฯ ทุกวัน แม้ว่าหน้าบ้านจะมีสถานีรถไฟฟ้า แต่ตนเองไม่ได้ขึ้นตั้งแต่ต้นทาง จะเลือกนั่งรถตู้โดยสารมาที่สถานีบีทีเอส หมอชิต เพื่อต่อรถไฟฟ้าเข้าเมืองแทน เพราะหากนั่งรถไฟฟ้าตั้งแต่ต้นทางจะต้องเสียค่าเดินทางถึง 200 บาทต่อเที่ยว จึงอยากให้ช่วยลดค่าโดยสารลงอีก


ส่วนรายนี้ใช้บริการรถไฟฟ้าสานสีเขียวเข้าเมืองแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเลี่ยงรถติด แต่ยังพบว่าปัญหาเส้นทางเดินรถไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม และอยากให้ตั๋วโดยสารเป็นตั๋วใบเดียวที่สามารถเดินทางได้ทุกระบบ เพื่อให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และปัญหาใหญ่คือ ค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพงมาก อยากให้ลดราคาลงมาเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน

ส่วนข้อมูลของกรมรางได้มีผลศึกษาเปรียบเทียบวิธีการคำนวณค่าโดยสารตามที่มีการเสนอใหม่ หากจะมีการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยใช้สูตรกำหนดอัตราค่าโดยสารแรกเข้า 15 บาท ค่าโดยสารต่อสถานี 3 บาท หรือเรียกว่าโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร หรือ 15+3X โดยใช้ดัชนีราคาที่รวมสินค้าทุกหมวด พบว่าทำให้อัตราค่าโดยสารสูงกว่าการใช้ดัชนีผู้บริโภค ไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม มาคำนวณ

โดยเปรียบเทียบรายได้ตอบแทน เมื่อจัดเก็บค่าโดยสารจากสูตร MRT Assessment Standardization หรือเรียกง่ายๆ คือสูตรการคำนวณค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT และข้อเสนอของ BTS พบว่าข้อเสนอของ BTS จะมีรายได้ตอบแทนค่าโดยสารมากกว่าแบบ MRT ประมาณ 4.6 แสนล้านบาท ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไม่ควรมีกำไรมากขนาดนั้น แต่ควรลดลง โดยมาลดค่าโดยสารให้ผู้ใช้ ดังนั้น โครงสร้างอัตราค่าโดยสารแบบค่าแรกเข้า 12 บาท บวกกิโลเมตรละ 2 บาท หรือ 12+2X ของ MRT จะทำให้ผู้โดยสารจะได้รับประโยชน์จากค่าโดยสารที่ถูกลง และรัฐบาลจะสามารถช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้โดยสารได้ปีละ 15,000 ล้านบาท เนื่องจากร่างสัญญาสัมปทานไม่มีเงื่อนไขที่ระบุชัดเจนถึงมาตรการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ ดังนั้น กทม. ควรมีมาตรการส่งเสริมการเดินทางเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน


ส่วนความเห็นต่อนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่จะไม่ต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือในกรณี กทม. ไม่บริหารการเดินรถต่อหลังหมดสัมปทานปี 2572 แต่จะต่อสัญญาโดยผ่านการทำตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน เท่านั้น

กรมการขนส่งทางราง ระบุว่าหากนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เห็นว่าจะไม่ต่อสัญญาสัมปทานตามร่างสัญญาสัมปทานกับ BTS ก็ต้องดำนินการใน 5 ข้อ คือ 1.ต้องมีการทำหนังสือแจ้งยังรัฐบาล เพื่อนำเรื่องนี้มาพิจารณาแนวทางใหม่ กลับมาพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง 2.มีแนวทางในการดำเนินการต่อสัญญาสัมปทานให้เอกชน ควรพิจารณาตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ. 2562 คำนึงถึงการแข่งขันราคา ให้เกิดความเป็นธรรม

3.เรื่องภาระหนี้ของกรุงเทพมหานคร 60,000 ล้านบาท จะนำกลับมาพิจารณา ความถูกต้องของขั้นตอนในการดำเนินการ ทั้งมติการรับรองของสภา กทม.

4.สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย ที่จ้างบีทีเอสถึงปี 2585 ดำเนินการตามขั้นตอน ระเบียบ กฎหมาย หรือผ่านแนวทางตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562 หรือไม่ 5.การดำเนินการตามระบบที่สอดคล้องระบบตั๋วร่วม หรือบัตรใบเดียวในการเชื่อมต่อการเดินทาง

สภาผู้บริโภคเตรียมหารือผู้ว่าฯ แก้ปัญหาค่าโดยสารแพง
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า เตรียมเข้าหารือกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หลังเข้ารับตำแหน่งว่าผู้ว่าฯ กทม. อย่างเป็นเป็นทางการ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง พร้อมระบุแนวทางที่นายชัชชาติหาเสียงเอาไว้สอดคล้องกับแนวทางของสภาที่ต้องการแก้ปัญหา โดยเห็นว่าราคาที่จัดเก็บปัจจุบัน ซึ่งสูงสุด 59 บาท โดยเป็นค่าแรกเข้า 15 บาท และค่าโดยสารตามระยะทางอีก 44 บาท เป็นราคาที่สูงกว่าสัมปทาน และหวังว่าจะมีการกลับมาเก็บในอัตรารวมสูงสุดไม่เกิน 44 บาท เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการรถไฟฟ้ามากขึ้น และหลังจากหมดสัมปทานในปี 2572 ขอให้เก็บในอัตราไม่เกิน 25 บาท ซึ่งสภายืนยันว่าเป็นราคาที่ทำได้จริง

การรวมคิดค่าโดยสารเป็นโครงข่ายจะทำให้ประชาชนจ่ายน้อยลง
ส่วนความเห็นวิชาการ นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ จากทีดีอาร์ไอ กล่าวในประเด็นเรื่องต่อสัมปทานหรือไม่ต่อสัมปทานให้แก่บีทีเอสจะมีผลต่อราคาค่าโดยสารอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาทีดีอาร์ไอมีผลการศึกษาจากการบริหารโครงข่ายรถไฟฟ้าในต่างประเทศ ซึ่งมหานครใหญ่ๆ นั้นสามารถมีผู้บริการเดินรถหลายรายได้ แต่ต้องมาเข้าสู่การลงทุนที่ต้องจัดเก็บค่าโดยสาร เป็นโครงข่ายในอัตราเดียวกัน ไม่ได้มีการแยกกันคำนวณค่าโดยสาร แยกราคาจัดเก็บแบบไทย หากในอนาคตสามารถนำโครงการที่หมดสัปมทานมารวมคิดค่าโดยสารเป็นโครงข่าย ค่าโดยสารจะถูกลง

“ชัชชาติ” ย้ำควรลดค่าโดยสารให้ได้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ประชาชน
ด้านนายชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์ประเด็นสัญญาจ้างเดินรถ ระหว่างลงพื้นที่แยกลำสาลี-บางกะปิ จุดวิกฤติรถติดจากงานก่อสร้างรถไฟฟ้า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เรื่องสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต้องยึดผลประโยน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่เนื่องจากตอนนี้ยังไม่เห็นข้อมูลเอกสารทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม เรื่องการโอนหนี้ต้องดูว่ากระบวนการครบถ้วนหรือยัง คิดว่าสภา กทม. ต้องรับรู้ เพราะเป็นหนี้ก้อนใหญ่ เรายังไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด สองคือสัญญาจ้างเดินรถที่จ้างระยะยาวที่ไม่ได้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน โดยเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานไป โดยที่ไม่ได้ใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุน จะมีการพิจารณาที่ถี่ถ้วนชัดเจน ต้องทำให้ถูกต้อง

การที่ไม่ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งก็ผิดหลักการในภาพรวมแล้ว เราก็อยากให้มีความโปร่งใส จุดนี้ก็เข้าใจว่ามีเรื่องที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. บางส่วนด้วย เรื่องที่ไปจ้างเดินรถโดยที่ไม่ได้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไปดูในรายละเอียดว่าจริงๆ สัญญาจ้างเดินรถเป็นเช่นไร

ส่วนเรื่องการลดราค ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวลงมาทำได้จริงหรือไม่นั้น นายชัชชาติยกตัวอย่างว่าปัจจุบันค่าโดยสาร 59 บาท โดย 44 บาท เป็นค่าโดยสาร ส่วนไขแดงอีก 15 บาท เป็นของส่วนต่อขยาย ซึ่งตรงนี้ กทม. รับผิดชอบ และต้องดูว่า 15 บาทนี้จะปรับลงได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนสัญญาต่อช่วงถึงปี 2572 ต้องดูรายละเอียดต้นทุน กำไร ขาดทุน หากมีกำไรอยู่อาจจะคืนให้ได้ และอาจลดราคาในส่วนที่ต่อขยายลงได้ แต่ถ้าขาดทุนต้องดูอีกที หลักการคือต้องไปดูตัวเลขที่แท้จริงก่อน แต่ควรจะต้องลดราคาค่าโดยสารลงมาให้ได้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ประชาชน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ทนายวัดนาป่าพง แจงปมโอนเงินไปเยอรมนี ยันใช้ก่อตั้งมูลนิธิ

16 ก.ย. – ทนายวัดนาป่าพง แจงยิบไทม์ไลน์โอนเงิน 12 ล้าน ไปให้สีกาที่เยอรมนี ยืนยันใช้ก่อตั้งมูลนิธิ หวังเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ใช่เสน่หาหรือยักยอกเงินวัด เชื่อเป็นขบวนการล้มพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ความคืบหน้าการตรวจสอบพระวัดดังใน จ.ปทุมธานี หลังมีการแจ้งความกองปราบฯ ให้ตรวจสอบปมเงินบริจาควัดที่มีการโอนไปยังต่างประเทศ รวมถึงปล่อยคลิปลักษณะที่ใกล้ชิดกับสีกาในร้านเครื่องประดับ วันนี้ (16 ก.ย.) นายนันทน อินทนนท์ และคณะทนายความของวัดนาป่าพง ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงประเด็นต่างๆ โดยมี อ.เบียร์ คนตื่นธรรม พระลูกวัด และศิษยานุศิษย์ของวัด มาร่วมฟังคำแถลงข่าวอีกเป็นจำนวนมาก ในส่วนของคลิปกับสีกาในร้านเครื่องประดับในต่างประเทศ ทนายความยืนยันว่าสีกาคนดังกล่าวเป็นโยมอุปัฏฐาก ที่ทำหน้าที่ดูแลพระอาจารย์คึกฤทธิ์ และดูแลช่องทางการสื่อสารของวัด คือพุทธวจนเรียล อย่างเปิดเผยตั้งแต่แรก แต่คลิปวิดีโอที่ถูกนำมาเผยแพร่พยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสีกาคนดังกล่าวกับพระอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นการตัดต่อที่ตั้งใจให้เกิดความเข้าใจผิด แจงไทม์ไลน์ยิบ โอนเงินไปต่างประเทศใช้ก่อตั้งมูลนิธิส่วนกรณีมีการโอนเงินจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ไปยังสีกาที่เยอรมนี ทีมทนายความยอมรับว่าเอกสารต่างๆ ที่เผยแพร่ในสื่อ เป็นเอกสารที่ทางวัดยื่นต่อศาลที่เยอรมนี ไม่ใช่เอกสารที่ต้องปิดบัง สามารถเปิดเผยได้ เพราะไวยาวัจกรเป็นผู้โอนเงินเอง พร้อมชี้แจงว่าเป็นการโอนเงินเพื่อไปสร้างวัดและมูลนิธิที่ประเทศเยอรมนี โดยไล่เรียงไทม์ชี้แจงอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ปี 2561 พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ต้องการเผยแพร่คำสอนในต่างประเทศ หนึ่งในวิธีการคือการจัดตั้งวัดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเยอรมนีมีลูกศิษย์ของวัดจำนวนมาก […]

รวบบัญชีม้ายกแก๊ง ตระเวนถอนเงินให้คอลเซ็นเตอร์จีนเทา

16 ก.ย. – จับยกแก๊งบัญชีม้า 7 คน ตระเวนถอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนเทา ยึดเงินสดกว่า 5 แสนบาท สารภาพได้ค่าจ้างล้านละ 7,000 บาท เงินที่หลอกผู้เสียหายถูกถ่ายโอนไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์นอกประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท นายเอกชัย เจ้าของบัญชีม้า พร้อมหญิงสาวทำหน้าที่ประสานงานถอนเงิน ถูกตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมได้บริเวณหน้าธนาคารแห่งหนึ่งใน อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน ก่อนขยายผลจับกุมนายศรัณย์พงศ์ และนางสาวนันท์ธนัษฐ์ 2 คนไทย ทำหน้าที่ควบคุมเจ้าของบัญชีม้า และผู้ร่วมขบวนการอีก 3 คน ที่นั่งรอในรถกระบะ นายคิโอ ชาวลาว หัวหน้าแก๊งที่ถอนเงินให้จีนเทาเครือข่ายคิงส์โรมันฝั่งลาว พร้อมยึดของกลางเงินสดกว่า 5 แสนบาท สมุดบัญชีเงินฝากอีก 1 เล่ม กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์วนเวียนถอนเงินสดจากธนาคารหลายแห่งใน จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันทุจริต หลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันเป็นอั้งยี่ เตรียมรวบรวมหลักฐานขยายผลถึงบอสชาวจีน พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค […]

อัปเดตโผ ครม. ครบ 100% “โสภณ​” มีชื่อนั่งรอง​นายก​ฯ

กทม.16 ก.ย.- อัปเดตโผ ครม. ล่าสุด “โสภณ​ ​ซา​รัมย์​” ผงาดรอง​นายก​ฯ ขณะที่ รมต.สำนักนายกฯ มีถึง 4 เก้าอี้ ด้าน “มัลลิกา” โผล่นั่ง รมช.คมนาคม วันที่ 16 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นส่งรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม. ) ซึ่งคาดว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ 36 รายชื่อ ดังนี้ โควตา​คนนอก​ พรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ กลุ่มสุชาติ กลุ่มการเมืองอื่น

ป่วนไม่เลิก! เขมรบุกทำลายรั้วลวดหนาม “บ้านหนองหญ้าแก้ว”

16 ก.ย.- เขมรป่วนไม่เลิก! บุกทำลายรั้วลวดหนาม บ้านหนองหญ้าแก้ว ทหารกัมพูชายืนประกบสังเกตการณ์ ขณะที่ชาวเน็ตแห่หนุนสร้างกำแพงกั้นถาวร วันที่ 16 ก.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสังคมออนไลน์แห่แชร์ภาพคลิปวิดีโอ พร้อมข้อความโดยอ้างว่าเป็นภาพของชาวเขมรบุกทำลายรั้วลวดหนามของไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งเหตุการณ์เกิดในวันนี้ โดยมีชาวบ้านจากฝั่งกัมพูชาหลายคนเข้ามาใกล้แนวรั้วลวดหนาม พร้อมถือไม้และพยายามรื้อทำลาย ขณะที่ทหารกัมพูชายืนสังเกตการณ์อยู่รอบพื้นที่ ขณะที่ชาวเน็ตแห่แสดงความคิดเห็น สนับสนุนการสร้างกำแพงแทนรั้วลาดหนาม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก -313 .-สำนักข่าวไทย