กรุงเทพฯ 6 พ.ค.- สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุ ผลผลิตปาล์มในประเทศไม่ขาดแคลน โดยคาดว่า ปี 2565 ผลผลิตจะเพิ่มจากปี 2564 ประมาณ 4.7% ส่วนที่ราคาน้ำมันปาล์มปรับเพิ่มนั้น เป็นไปตามกลไกตลาดเนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้น เกษตรกรจึงขายปาล์มได้ราคาดี แต่ในทางตรงข้ามคือ ผู้บริโภคต้องซื้อน้ำมันปาล์มในราคาแพงขึ้น
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (บอร์ดปาล์มน้ำมัน) พยากรณ์สถานการณ์การผลิตปาล์มน้ำมันปี 2565 (พยากรณ์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565) ว่า เนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศ 6,188,117 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 2,843 ตัน และผลผลิต 17,594,169 ตัน ขณะที่ปี 2564 เนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศ6,065,404 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 2,769 ตัน และผลผลิตรวมทั้งปี 16,794,621 ตัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏว่าพื้นที่ปลูกปาล์มปี 2565 เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาเริ่มปรับสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2563 จึงเป็นแรงให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูก ส่วนผลผลิตต่อไร่ปี 2565 มากกว่าเนื่องจาก 2 ปีก่อนหน้าสถานการณ์แล้งไม่รุนแรง จึงคาดว่า ผลผลิตรวมทั้งปี 2565 จะสูงกว่าปี 2564 ประมาณ 4.7%
ประเทศไทยนำปาล์มน้ำมันมาผลิตน้ำมันปาล์มสำหรับบริโภคมากที่สุด โดยสกัดน้ำมันประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังใช้อุตสาหกรรมอาหารด้วย รองลงมาคือใช้ในภาคพลังงาน จากนั้นจึงส่งออก ที่เหลือเก็บสตอก จากปริมาณปาล์มน้ำมันที่ผลิตได้เพียงพอสำหรับใช้ในประเทศแน่นอน
สิ่งยืนยันว่า ผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศไทยไม่ขาดแคลนอีกประการคือ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้ประชุมครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อพิจารณาการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2564 และการดำเนินโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565
สำหรับสาเหตุที่ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศปรับสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ผลผลิตไม่ได้ขาดแคลนเป็นภาวะราคาที่ผิดปกติ โดยเกิดจากสถานการณ์โลกคือ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ความตระหนก (panic demand) ประเทศต่างๆ สงวนธัญพืชและพืชน้ำมันไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้พืชน้ำมัน เช่น ทานตะวัน เรปซีด ถั่วเหลือง เป็นต้น ในตลาดโลกลดลง ดังนั้นความต้องการใช้น้ำมันปาล์มจึงสูงขึ้น ประกอบกับมีการเก็งกำไรจากตลาดล่วงหน้าที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับสูงขึ้น ล่าสุดอินโดนีเซียประกาศระงับส่งออกน้ำมันปาล์มยิ่งทำให้เกิดความตระหนกมากขึ้นไปอีก เพราะอินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก การระงับส่งออกของอินโดนีเซียไม่มีผลกระทบต่อไทยด้านปริมาณน้ำมันปาล์มเนื่องจากปริมาณผลผลิตของไทยเพียงพอใช้อยู่แล้ว แต่ที่กระทบคือ ด้านราคาเพราะเมื่อทั่วโลกตระหนกเรื่องการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ความต้องการซื้อจะยิ่งสูงซึ่งจะเป็นผลให้ราคาปรับสูงตามกลไกตลาด
ทั้งนี้ผลดีที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับสูงคือ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจำหน่ายผลผลิตได้สูงขึ้นข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า ราคาปาล์มน้ำมันทั้งทะลาย (น้ำหนักมากกว่า 15 กิโลกรัม) ในเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2565 เฉลี่ย 9.44 บาทต่อกิโลกรัม สูงขึ้นกว่าปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 6.16 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ปี2563 อยู่ที่ 5.14 บาทต่อกิโลกรัม โดยปีที่ต่ำที่สุดใน 10 ที่ผ่านมาคือ ปี 2562 อยู่ที่ 2.17 บาทต่อกิโลกรัม

ดังนั้นการที่เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาสูงขึ้นจึงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ส่งผลดีต่อ GDP ของประเทศจากการส่งออกน้ำมันปาล์ม แต่ที่ส่งผลกระทบคือ ผู้บริโภคต้องซื้อน้ำมันปาล์มประกอบอาหารในราคาแพงขึ้น รวมถึงอาจส่งผลให้อาหารต่างๆ ที่ใช้น้ำมันปาล์มประกอบปรับราคาตามไปด้วย.-สำนักข่าวไทย