“อุตตม” เสนอทำมาตรการสร้างรายได้ควบคู่เยียวยา

กรุงเทพฯ 29 เม.ย. – “อุตตม” เสนอทำมาตรการสร้างรายได้ควบคู่เยียวยา เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชนและพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงในอนาคต พร้อมยกแนวคิดให้หน่วยงานรัฐในท้องถิ่นจัดซื้อพัสดุโดยตรง เพื่อเร่งกระจายเม็ดเงินลงเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างรวดเร็ว


นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงแนวทางการดูแลประชาชนคนไทย ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากภาวะต้นทุนราคาพลังงานสูง วัตถุดิบและสินค้าบริการต่างๆ ปรับราคาแพงขึ้น และมีแนวโน้มจะแพงขึ้นต่อไป แต่ขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญกับปัญหารายได้ที่ถดถอย เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้น ว่าเรื่องนี้เป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังก็ได้ลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.5 จากเดิมที่ร้อยละ 4 และคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีไว้ที่ร้อยละ 5 ซึ่งเกินกรอบเงินเฟ้อเดิมของประเทศที่กำหนดไว้ร้อยละ 1-3 ไปมาก รวมทั้งยังระบุว่าสถานการณ์อนาคตเศรษฐกิจประเทศ มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการ

สถานการณ์ดังกล่าว ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะราคาพลังงานนั้นเป็นปัญหาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการภายในประเทศเอง ด้วยการดำเนินนโยบายและมาตรการที่ครอบคลุมเหมาะสม เพื่อดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันก็เพื่อพยุงสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมไม่ให้ทรุดหนักลงไป และมีความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงในปัจจุบัน


สำหรับการดูแลช่วยเหลือเยียวยาค่าครองชีพประชาชนเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับผลกระทบมาก แต่ตามที่ตนกล่าวไว้ข้างต้นว่า วันนี้นอกจากประชาชนมีปัญหาเรื่องต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องรายได้อีกด้านหนึ่งด้วย ในภาวะเช่นนี้จำเป็นต้องใช้ชุดมาตรการที่จะสามารช่วยเหลือดูแลประชาชนได้ครบวงจร เพราะเพียงมาตรการด้านใดด้านหนึ่ง จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพแท้จริง

นับตั้งแต่การระบาดของโควิด รัฐบาลได้ออกมาตรการบรรเทาด้านค่าครองชีพ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สภาพการปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต มีเหตุแทรกซ้อน โดยเฉพาะสงครามยูเครน ทำให้การดูแลเศรษฐกิจและปัญหาของประชาชนมีความซับซ้อนและอ่อนไหวเพิ่มขึ้นมาก เช่น การกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการนั้น จะส่งผลได้ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนเศรษฐกิจโดยรวมจะฟื้นตัว แต่ทว่าหากเศรษฐกิจยังไม่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน และรายได้ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการกลับถดถอย รวมทั้งมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น มาตรการเดิมเพียงเท่านั้นจึงอาจไม่มีผลได้เช่นดังก่อน

ดังนั้นเราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ซึ่งตนเห็นว่ามีความจำเป็นต้องมีชุดมาตรการที่ครอบคลุม โดยเพิ่มมาตรการใหม่ที่จะช่วยเพิ่มความสามรถในการสร้างรายได้ของผู้ประกอบการโดยตรงและต่อเนื่อง ตนจึงขอแชร์แนวคิดดังต่อไปนี้


1.การสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในวงกว้างและต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงฟื้นฟูเงินทุนให้ผู้ประกอบการ

2.การช่วยให้ผู้ประกอบการรายกลางรายเล็ก ที่ขณะนี้มีปัญหาการเข้าถึงเงินกู้สินเชื่อ ให้มีเงินหมุนเวียนเพียงพอในช่วงเวลาปัจจุบัน เพื่อสามารถทำการค้าต่อไปได้

3.การเพิ่มปริมาณการค้าโดยใช้ประโยชน์จากตลาดแนวชายแดนให้มากขึ้น

สำหรับวันนี้ตนจะขอกล่าวถึงแนวคิดข้อแรกก่อนว่า เมื่อเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจปัจจุบันหดหาย จึงมีความจำเป็นต้องสร้างแหล่งรายได้ใหม่ขึ้นมา และแหล่งรายได้ใหม่นั้นสมควรพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบาง รวมถึงกลุ่มคนตัวเล็กทั้งพ่อค้าแม่ขาย และเอสเอ็มอี ที่สำคัญเน้นการกระจายแหล่งรายได้นั้นให้ทั่วถึงในพื้นที่ต่างๆของประเทศ เพื่อช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้หมุนเวียนคล่องตัวขึ้น

ทีมงานสร้างอนาคตไทยได้ประมวลภาพกำลังซื้อในปัจจุบัน พบว่า แม้ในภาพรวมกำลังซื้อจะหดหาย แต่ในความเป็นจริงยังมีผู้มีกำลังซื้อรายใหญ่อยู่ ประกอบด้วย 1.หน่วยงานราชการ 2.รัฐวิสาหกิจ 3.เอกชนรายใหญ่ ซึ่งยังมีความจำเป็นต้องจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์และอื่นๆต่อเนื่อง โดยจากการประเมินคาดว่ามีมูลค่ารวมกันสูงถึงปีละ 3 ล้านล้านบาท

แนวทางที่เราเสนอคือ จากเดิมที่โดยปกติถือปฏิบัติ หน่วยงานดังกล่าวจะดำเนินการจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์ ฯลฯ ในส่วนกลาง แล้วจึงจัดส่งสิ่งที่จัดซื้อไปให้หน่วยงานของตนในพื้นที่ต่างๆเพื่อใช้งาน เม็ดเงินที่เกิดจากการจัดซื้อจึงอยู่ในส่วนกลางเป็นจำนวนมาก โดยต้องใช้เวลานานจึงจะหมุนเวียนไปสู่พื้นที่อื่นๆของประเทศ ดังนั้น หากเราทำให้เม็ดเงินจากการจัดซื้อดังกล่าว กระจายลงสู่พื้นที่ในจังหวัดต่างๆได้เร็วยิ่งขึ้น ก็จะเกิดประโยชน์ครอบคลุมเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากได้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สามารถพิจารณาดำเนินการการจัดซื้อในพื้นที่โดยตรง เพื่อให้ธุรกรรมการซื้อขายเกิดขึ้นในพื้นที่ ก็จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายกลางรายเล็กที่มีความพร้อม เข้าถึงการเสนอขายครุภัณฑ์และอื่นๆดังกล่าวได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้และกระตุ้นกำลังซื้อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในหลากหลายพื้นที่ของประเทศได้โดยตรง

ทั้งนี้เราอาจมีข้อกังวลว่า การจัดซื้อในท้องถิ่นมีโอกาสที่งบประมาณจะรั่วไหลมากนั้น ผมคิดว่า หากภาครัฐมีนโยบายทำเรื่องนี้อย่างชัดเจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถหารือร่วมกันกำหนดวิธีบริหารจัดการที่รัดกุมและโปร่งใสให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว เพื่อให้ดำเนินการสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ปกติ และเผชิญกับความสุ่มเสี่ยงในอนาคต เราควรมีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดและการดำเนินการบางประการ เพื่อดูแลประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งการสร้างรายได้ให้ประชาชนในวงกว้าง ด้วยการสนับสนุนการจัดซื้อตรงในท้องถิ่น เป็นตัวอย่างแนวคิดหนึ่งที่สามารถพิจารณากำหนดเป็นมาตรการดำเนินการได้ในทันที

ทั้งในส่วนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงธนาคารของรัฐที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ทั้งยังสามารถแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนที่มีหน่วยงานอยู่ในพื้นที่ต่างๆไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้มาตรการมีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น พรรคสร้างอนาคตไทยเชื่อว่า การกระจายอำนาจและโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถดูแลกันเองได้มากขึ้น ภายใต้แนวทางขบวนการปฏิบัติที่ชัดเจนและรัดกุม จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งยั่งยืนให้เศรษฐกิจฐานราก .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 แถลงผลประชุม RBC 11 ข้อ ย้ำปฏิบัติตามเงื่อนไขหยุดยิงเคร่งครัด

ศรีสะเกษ 27 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงผลประชุม RBC 11 ข้อ ที่ด่านศุลกากรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ย้ำให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ไม่ขยายขอบเขตความขัดแย้ง ไม่เผยแพร่ข่าวปลอม รวมถึงเห็นชอบให้ความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คำแถลงข่าวร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) สมัยวิสามัญ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ราชอาณาจักรไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ราชอาณาจักรกัมพูชา วันที่ 27 สิงหาคม 2568 จังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักรไทย การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) สมัยวิสามัญ จัดขึ้นวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ในจังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักรไทย โดยมี พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และพลโท […]

คุมฝากขัง “อดีตพระอลงกต-หมอบี” ค้านประกัน

27 ส.ค. – ตร.คุมตัว “อดีตพระอลงกต-หมอบี” ส่งฝากขังศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมคัดค้านการประกันตัว เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้ควบคุมตัวอดีตพระอลงกต หรือ ทิดจอร์จ และนายเสกสันน์ หรือ หมอบี ออกจากห้องคุมขัง ที่อาคารศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปฝากขังที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เจ้าหน้าที่ได้แยกควบคุมตัวอดีตพระอลงกต หรือ ทิดจอร์จ สวมเสื้อยืดสีน้ำตาลและกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลเข้ม ก่อนนำผ้าเช็ดตัวสีส้มมาห่มคลุมร่างกาย ขึ้นรถยนต์ตำรวจ ทันทีที่ออกมาทางอดีตพระอลงกตได้ยกมือซ้ายขึ้นมา ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามแต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ก่อนขึ้นนั่งบนรถ โดยมีศิษยานุศิษย์ประคองด้านข้าง ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่ารู้สึกกังวลใจหรือมีอะไรอยากจะชี้แจงหรือไม่ พร้อมกับถามถึงความรู้สึกหลังจากที่ลาสิกขาแล้ว แต่อดีตพระอลงกต ได้แต่ยิ้มแย้มและยกมือปฏิเสธ ไม่ตอบคำถามใดๆ จากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า “ไปศาลใช่หรือไม่” อดีตพระอลงกต ตอบสั้นๆ ว่า “ไปศาล” ส่วนนายเสกสันน์ หรือ หมอบี ได้แยกควบคุมตัวขึ้นรถกระบะของกองบังคับการปราบปราม โดยหมอบี ยังสวมใส่ชุดเดิม คือเสื้อแขนสั้นสีครีม และกางเกงขายาวสีน้ำตาล เจ้าตัวไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น.-419-สำนักข่าวไทย

พายุคาจิกิกระทบหลายจังหวัดเหนือ-อีสาน

27 ส.ค. – ผลกระทบจากพายุ “คาจิกิ” ส่งผลหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน ฝนตกหนัก อย่าง จ.แม่ฮ่องสอน น้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรงในพื้นที่บ้านแม่โกปี๋ ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม ส่วน จ.เลย แม่น้ำเหืองเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ต.นาแก้ว อ.นาแห้ว ชาวบ้านต้องเร่งยกสิ่งของขึ้นที่สูง พายุคาจิกิเคลื่อนตัวสู่ จ.น่าน ทำให้ 6 อำเภอทางตอนเหนือของเมืองน่าน มีฝนตกหนักและเริ่มมีน้ำป่าหลากดินสไลด์ใน ต.ปิงหลวง อ.นาหมื่น ชาวบ้านตามชุมชนและร้านค้าต่างๆ เร่งเก็บข้าวของไว้บนที่สูง อย่างชุมชนสวนตาลล่าง ซึ่งยังไม่ทันฟื้นฟูความเสียหายจากพายุวิภาเมื่อเดือนที่แล้ว ต้องเตรียมพร้อมกันอีกรอบ อย่างร้านจำหน่ายแอร์และกล้องวงจรปิดร้านนี้ ซึ่งครั้งที่แล้วเสียหายไปกว่า 6 ล้านบาท ต้องขนสินค้าออกจากร้านและยกขึ้นชั้น 2 หวั่นเจอน้ำท่วมซ้ำอีก ขณะเดียวกันเริ่มอพยพผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่ในจุดเสี่ยงน้ำท่วมออกมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงแล้วกว่า 20 ราย รวมทั้งเร่งเสริมคันดินและกระสอบทรายตามจุดเสี่ยงรอบเมือง โดยเฉพาะโรงพยาบาลน่าน ที่เคยถูกน้ำท่วมเสียหายเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งขนอุปกรณ์การแพทย์ขนาดใหญ่ไปไว้ในที่ปลอดภัย และเสริมแนวกระสอบทรายป้องกันไว้แล้ว พร้อมยกระดับยกระดับการป้องกันและรับมือกับพายุคาจิกิขั้นสูงสุด ขณะที่ จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ใช้โซเชียลโพสต์คลิปสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรงช่วงบ่ายวานนี้ (26 ส.ค.) ในพื้นที่บ้านแม่โกปี๋ ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม […]

ทบ.ย้ำชัดกัมพูชาบิดเบือน-ให้ร้าย ตั้งชุมชนรุกล้ำผิด MOU 2000

27 ส.ค.- โฆษก ทบ.โต้กัมพูชา กล่าวหาบิดเบือนพยายามให้ร้ายฝ่ายไทย ย้ำชัดวางลวดหนาม “บ้านหนองจาน” อยู่ในเขตอธิปไตยไทย ชี้เขมรตั้งชุมชนรุกล้ำผิด MOU 2000 จากกรณีที่สำนักข่าว Fresh News รายงานว่า นายชุม ซอนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชา–ไทย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. โดยระบุว่า ฝ่ายไทยได้ละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ด้วยการวางลวดหนามรุกล้ำพื้นที่บ้านเรือนและที่ดินของประชาชนในหมู่บ้านโจกเจย ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งสะท้อนถึงฝ่ายไทยได้ขยายพื้นที่ความขัดแย้งเข้ามาสู่เขตชุมชนพลเรือน และจากการประชุม GBC เมื่อ 7 สิงหาคม 2568 มีบันทึกความเข้าใจ 13 ข้อ ระบุว่าจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการยั่วยุ และจะหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น รวมถึงตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ห้ามการดำเนินการใด ๆ […]