กรุงเทพฯ 18 เม.ย. – บมจ.ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง ผลพวง “คว่ำบาตรรัสเซีย” ด้าน “โนมูระ” แนะซื้อ TOP มองแนวโน้มกำไรปกติ ไตรมาส 1/65 อยู่ที่ราว 6,688 ล้านบาท เติบโต 12%
บมจ.ไทยออยล์ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะทรงตัวระดับสูง เคลื่อนไหวที่กรอบ 105-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 110-120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เหตุผลจากของราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง เหตุจากสหภาพยุโรปพิจารณายกเลิกการนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เนื่องจากเหตุบุกยูเครน ประกอบกับอุปทานที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียลดลง เนื่องจากผู้ซื้อหลายรายหลีกเลี่ยงเพราะกังวลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตร อย่างไรก็ตาม ราคาได้รับแรงกดดันจากมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตามมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาด และแผนการปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองยุทธศาตร์ (SPRs) เพิ่มเติม ของสหรัฐ และประเทศสมาชิกสำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA เพื่อช่วยบรรเทาภาวะอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว
IEA คาดว่าผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียในเดือน เม.ย. เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะหายไปจากตลาด ราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และในเดือน พ.ค. จะหายไปอีกเป็น 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังผู้ซื้อน้ำมันจะหลีกเลี่ยงการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพราะกังวลผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้ตลาดกังวลอุปทานน้ำมันดิบอาจมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งสอดคล้องกับ Vitol ที่คาดว่าผู้ซื้อจะหยุดซื้อน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียทั้งหมดภายในสิ้นปี 2022 ล่าสุดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทรัสเซียปรับลดลงอยู่ที่ 10.52 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วง1-6 เม.ย. เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตเฉลี่ยเดือน มี.ค. ที่ 11.01 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยหลายฝ่ายคาดว่าปริมาณการผลิตของรัสเซียอาจลดลงอีก หลังรัสเซียประสบปัญหาในการส่งออก
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและพันธมิตรหรือ กลุ่มโอเปกพลัส คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปรัสเซียมีแนวโน้มจะหายไปจากตลาดราว 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งกลุ่มโอเปกพลัสปฏิเสธที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยปริมาณดังกล่าว ตามข้อร้องเรียกของสหภาพยุโรปและสหรัฐ โดยทางกลุ่มจะเพิ่มกำลังการผลิต 0.43 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน พ.ค. ตามข้อตกลงเดิมที่จะค่อยๆ เพิ่มกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองปริมาณความต้องการใช้ที่จะเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลาย
สหรัฐ และประเทศสมาชิกของ IEA ประกาศปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ (SPRs) จำนวน 180 ล้านบาร์เรล ขณะที่สหรัฐประกาศจะปล่อยเพิ่มอีก 60 ล้านบาร์เรล รวมปริมาณทั้งหมด 240 ล้านบาร์เรล ในช่วงเวลา 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่าปริมาณ SPRs สามารถช่วยทดแทนน้ำมันดิบที่หายไปจากรัสเซียและบรรเทาอุปทานน้ำมันดิบที่ตึงตัวได้ในระยะสั้น
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-15 เม.ย. 65)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 8.69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 106.95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 8.92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 111.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 105.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน มองว่าราคาน้ำมันที่สูงเป็นผลบวกต่อ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) แนะนำซื้อ มองแนวโน้มกำไรปกติ ไตรมาส 1/65 อยู่ที่ราว 6,688 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจโรงกลั่นที่ดีขึ้นกลบฝั่งปิโตรเคมีและน้ำมันหล่อลื่นที่ลดลงได้ โดยกำไรมาจากทั้งกำไรสตอก (stock gain) ที่คาดเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคาน้ำมันดิบ เพราะซัพพลายด์ที่ตึงตัวจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และค่าการกลั่นที่เพิ่ม 827% เมื่อเทียบรายปี ตาม spread ปิโตรเลียมที่ความต้องการใช้ฟื้น ประกอบกับ supply ตึงตัวจากการหลีกเลี่ยงการซื้อน้ำมันจากรัสเซียของผู้ซื้อทั่วโลก
“เราคาดกำไรสุทธิ TOP ไตรมาส2/65 จะโตเด่นทั้งเทียบรายปีและรายไตรมาส เพราะกำไรพิเศษก้อนใหญ่กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท. จากการขายเงินลงทุน GPSC เข้ามาหนุน เราคงคำแนะนำ Buy และเลือกเป็น top pick เช่นเดิม มองกำไรสุทธิ ไตรมาส1/65 เด่นกว่ากลุ่ม และไตรมาส 2/65 มีแรงกดดันจาก stock loss น้อยกว่ากลุ่ม รวมถึงระยะยาวความสามารถในการทำกำไรสูงกว่ากลุ่มหลังโครงการ CFP เริ่ม COD ในปี2565 มองในช่วง overhang การเพิ่มทุนเป็นโอกาสซื้อ” นายกรภัทรกล่าว.-สำนักข่าวไทย