กรุงเทพฯ 25 ก.พ.- นักวิชาการชี้ราาคาน้ำมัยขาบปลีกอาจขยับขึ้น 1 บาท หลังวิกฤติสงคราม “ยูเครน-รัสเซีย” เสนอรัฐบาลเพื่อลดผลกระทบลดภาษีเบนซิน-ต่ออายุตรึง LPG
สถานการณ์ผลกระทบจากวิกฤติสงครามสงคราม”ยูเครน-รัสเซีย” ส่งผลราคาน้ำมันดิบซื้อขายระหว่างเมื่อวานนี้ (24ก.พ.) แตะ 105 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงสุดในรอบ 8 ปีและสหรัฐหารือพันธมิตรปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ส่งผลราคาน้ำมันดิบปิดวานนี้ WTI เพิ่ม 71 เซนต์ ปิดที่ 92.81 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 BRENTเพิ่มขึ้น 2.24 ปิดที่ 99.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันตลาดสิงโคโปร์ขยับขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์/บาร์เรลโดยน้ำมันดิบดูไบขึ้น 5.2 ดอลลาร์ปิดที่ 98.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ดีเซลเพิ่มขึ้น 5.88 ดอลลาร์ปิด 116.01 ดอลลาร์/บาร์เรล เบนซินเพิ่มขึ้น 5 ดอลลาร์ ปิด 117.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าราคาน้ำมันสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นก็จะสะท้อนมาราคาขายปลีกในไทยทำให้ต้นทุนขึ้น 1 บาทต่อลิตรซึ่งหากผู้ค้าน้ำมันขึ้นราคาตามต้นทุนหน้าปั๊มก็จะขึ้น 1บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาผู้ค้าจะค่อยๆทยอยปรับสูงสุดราว 60-80 สตางค์/ลิตร ซึ่งในกรณีกลุ่มดีเซลหลังรัฐบาลลดภาษี 3 บาท/ลิตรก็ยังมีกรอบขึ้นราคาได้อีกราว1บาทต่อลิตรตามเกณฑ์ดูแลราคาไม่เกิน 30 บาท/ลิตรโดยราคาวันนี้อยู่ที่ 28.54 บาท/ลิตร
ส่วนกลุ่มเบนซินรัฐบาลก็น่าจะลดภาษี3บาท/ลิตรเช่นเดียวกัน ส่วนก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีครัวเรือนก็ควรต่ออายุตรึงราคา 318 บาท/ถัง 15 กก. ไปจนถึงสิ้นเดือน พ.ค. เหมือนกับช่วงเวลาการลดภาษีดีเซล
“ตลาดคาดว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะไม่ยืดเยื้ออาจใช้เวลา 6 เดือน กระทบราคาพลังงานจะแพงก็จะใช้เวลาไม่มากนักดังนั้นภาครัฐควรแก้วิกฤตชั่วคราวโดยลดภาษีชั่วคราวเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า” นายพรายพลกล่าว.-สำนักข่าวไทย