กรุงเทพฯ 11 ก.พ. – รมว.คลัง ชี้ธุรกิจประกันภัย เป็นเครื่องมือระดมทุน-สร้างเงินออมให้ระบบเศรษฐกิจมั่นคง ระบุประกันโควิด “เจอจ่ายจบ” เป็นกรณีศึกษา ขอเลิกกิจการแล้ว 2 บริษัท ที่เหลือยังเดินต่อได้ ด้านเลขาฯ คปภ. เผยยื่นเรื่องขอคืนกรมธรรม์แล้ว 8-9 แสนราย จี้บริษัทฯ ขยายเวลาเพิ่ม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 10 พร้อมมอบนโยบายดูแลธุกิจประกันภัย โดยระบุว่า ภาคธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญในการเป็นเครื่องมือระดมเงินออม และสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจ การจะทำให้ธุรกิจประกันภัยเจริญเติบโตและมีความมั่นคง การกำกับดูแลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ฝากกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต
ส่วนที่ธุรกิจประกันภัยได้รับผลกระทบจากกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” ในช่วงสถานการณ์โควิด ล่าสุด คปภ.ได้รับคำขอให้เลิกกิจการไปแล้ว 2 บริษัท ส่วนบริษัทประกันภัยที่เหลือ ยังสามารถดำเนินกิจการต่อได้ ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของ คปภ.
สำหรับความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันภัยที่จะรับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น คปภ.ได้มีการกำกับดูแลตลอดมาโดยความสามารถในการรองรับปัญหา หลักการสำคัญคือ การรักษาผลประโยชน์ผู้เอาประกัน ซึ่งหากมีการสั่งปิดบริษัทประกันภัย กองทุนประกันวินาศภัย ก็จะเข้าไปดูแลผู้เอาประกันแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รัฐช่วยเหลือค่าครองชีพ ลดค่าน้ำค่าไฟ ลดภาระค่าใช้จ่าย และขยายโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ออกไปว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังดูแลในส่วนนี้อยู่ แบ่งเป็น 2 เรื่อง คือ มาตรการทางด้านอาหาร และมาตรการทางด้านพลังงาน โดยในส่วนของแนวทางแก้ปัญหาพลังงาน ยังไม่มีแนวคิดในการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่คงยึดแนวทางตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท โดยใช้เครื่องมือเดิม คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ยังสามารถกู้ได้อีก 2 หมื่นล้านบาท ควบคู่ไปกับการพิจารณาแหล่งเงินอื่น เช่น เงินงบประมาณกลาง และจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ยังเหลืออยู่ ว่าจะสามารถใช้ได้หรือไม่ ส่วนโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ที่ยังดำเนินการอยู่
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ระบุว่า ล่าสุดบริษัท อาคเนย์ประกันภัย อยู่ระหว่างการขอโอนกรมธรรม์ที่ยังเหลืออยู่ไปยังบริษัทอื่นที่รับช่วงต่อ ส่วนกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันมีการบอกเลิกกรมธรรม์ เพื่อขอคืนเบี้ยเต็มจำนวน ล่าสุดมีการยื่นเรื่องขอคืนเงินแล้ว 8-9 แสนราย จากทั้งหมดกว่า 1 ล้านราย และมีการโอนเงินชำระคืนจากบริษัทไปแล้วประมาณ 3 แสนราย
อย่างไรก็ตาม คปภ.ได้ให้คำแนะนำบริษัทฯ ให้มีการขยายเวลาในการขอเรียกคืนเบี้ยประกันออกไปจากที่กำหนดเพียง 7 วัน เนื่องจากพบว่ายังมีบางส่วนอยากได้เบี้ยคืน แต่ไม่สามารถเข้าระบบได้ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่ซื้อประกันให้กับพนักงานของตน ที่อยากได้เบี้ยประกันคืนเช่นกัน
นายสุทธิพล ระบุด้วยว่า จากนี้ คปภ.จะติดตามตรวจสอบการขอเลิกกิจการของบริษัทประกันภัยตามเงื่อนไขอย่างเข้มข้น โดยมีการตั้งอนุกรรมการกฎหมายคอยกลั่นกรอง ก่อนเสนอที่ประชุมบอร์ด คปภ. ที่จะมีการประชุมในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้.-สำนักข่าวไทย