เอกชนชี้ถึงเวลาเดินหน้า Test & Go ดึงนักเดินทางมาไทย

กรุงเทพฯ 18 ม.ค.-หอการค้าไทยชี้ถึงเวลาเดินหน้า Test & Go ดึงนักเดินทางมาประเทศไทย เพื่อดึงเงินท่องเที่ยวให้เข้าไทย พร้อมแนะรัฐเร่งฉีดวัดซีนป้องกันโควิดเพิ่มขึ้น


นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังจากที่ ศบค. ได้มีมติยกเลิกการลงทะเบียนตามมาตรการ Test & Go ชั่วคราว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2564 ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนเห็นได้ชัดว่าดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากรัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดและเคร่งครัดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการยกเลิกมาตรการ Test & Go ภาคท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากที่สุด ซึ่ง มาตรการ Test & Go ถือเป็นมาตรการที่ช่วยผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับมาฟื้นตัวได้ดี โดยนับตั้งแต่มีการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทันทีจากมาตรการดังกล่าว จากเดิมเฉลี่ย 15,000 คน/เดือน สูงขึ้นถึง 218,788 คน ในเดือนธันวาคม 2564 ทำให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและบริการมีเงินหมุนเวียน

หอการค้าไทย ประเมินว่าหากไม่มีการยกเลิก Test & Go แม้จะมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนในต่างประเทศ ในช่วงเดือนมกราคมน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ประมาณ 100,000-200,000 คน แต่จากข้อมูลล่าสุด มีนักเดินทางผ่านมาตรการภูเก็ต Sandbox ได้ประมาณ 20,000 คน ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แสดงว่า


นักเดินทางที่คาดว่าจะเข้ามาหายไปถึง 80,000-180,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งโดยหากประเมินการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ของนักท่องเที่ยวที่ 50,000 บาท/คน จะเป็นเม็ดเงินที่หายไปเฉลี่ยต่อเดือน 5,000-9,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้กระทบทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้วย โดยจะกระทบต่อการจ้างงานที่เพิ่งจะกลับมาทำงาน รวมถึงเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวที่ประเทศอื่นที่พร้อมกว่าจะชิงโอกาสช่วงนี้ดึงนักท่องเที่ยวไป นายสนั่น กล่าว

ทั้งนี้ หอการค้าไทย ได้รับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ พบว่า ผู้ประกอบการมีข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งพิจารณานำมาตรการ Test & Go กลับมาดำเนินการอีกครั้ง โดยสามารถปรับปรุงกระบวนการให้เหมาะสม กับสถานการณ์แพร่ระบาด ณ เวลานี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงเสนอให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนการเดินทางเพิ่มอีก เป็น 5 วัน และ 3 วัน ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย โดยปัจจุบันหลักเกณฑ์ในการเข้าประเทศแบ่งออกเป็น 2 ประการสำคัญ คือ 1. ต้องฉีดวัคซีนครบตามที่สาธารณสุขกำหนด และ 2. ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่กิน 72 ชม. (3 วัน) ซึ่งหากมีการเพิ่มการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง ก่อนการเดินทาง 5 วัน จะเป็นมาตรการที่เข้มข้นมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และเหมาะสมพอควรกับสถานการณ์ที่ประชาชนบางส่วนยังมีความกังวล ซึ่งหากพิจารณาจากการระบาดในปัจจุบัน เกือบทั้งหมดมาจากภายในประเทศทั้งสิ้น ดังนั้น การเปิด Test & Go และเพิ่มการตรวจก่อนการเดินทางอีกครั้ง น่าจะเพียงพอกับการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการสามารถเดินหน้าต่อได้

สำหรับมาตรการในพื้นที่ Sandbox ที่ปัจจุบันต้องกักตัวในพื้นที่ 7 วัน หากสถานการณ์การระบาดคลี่คลายลง ภาคเอกชนก็เสนอให้ลดจำนวนวันกักตัวลงเป็นลำดับเช่น ลดเหลือ 3 – 5 วัน เพื่อให้นักเดินทางสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่น ๆ เกิดการกระจายรายได้ ซึ่งหอการค้าไทยให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่ต้องควบคู่กับการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศนี้ จะช่วยเสริมจากการท่องเที่ยวในประเทศ สอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐที่มีแผนดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ซึ่งจะเปิดสิทธิเพิ่มตามข้อเสนอของภาคเอกชนด้วย .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รถทัวร์โดยสารชนท้ายเทรลเลอร์ เสียชีวิต-บาดเจ็บจำนวนมาก

รถทัวร์โดยสารชนท้ายรถบรรทุกเทรลเลอร์ บนถนนสาย 304 จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ไฟลุกไหม้รถทัวร์โดยสาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ชาวบ้านยอมรับค่าเยียวยาหลังละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดิน

ชาวบ้านยอมรับการเยียวยา บ้านละ 1 หมื่นบาท จากเจ้าของที่ดินใน จ.ระยอง หลังถมที่สูงมิดหลังคาของเพื่อนบ้าน และรับปากจะเร่งแก้ไขให้ทันหน้าฝนที่จะถึงนี้ แต่ชาวบ้านยังหวั่นใจ หากแก้ไขไม่ทันก็ยังจะเดือดร้อน น้ำจะไหลลงมาบ้านที่อยู่ต่ำกว่า

“พีช” หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายแล้ว

“นายกเบี้ยว” พร้อมลูกชาย หอบเงิน 2 แสน หวังจ่ายค่ารักษาลุงป้า แต่ญาติชิงจ่ายก่อนแล้ว จึงฝากจดหมายขอโทษไว้ ด้าน “กัน จอมพลัง” ยอมถอย ให้สองฝ่ายพูดคุย แต่ต้องเป็นรูปธรรม

ข่าวแนะนำ

โป๊ปฟรังซิส สิ้นพระชนม์แล้ว ขณะพระชนมายุ 88 พรรษา

สำนักวาติกัน แถลงผ่านทางโทรทัศน์ของสำนักวาติกันว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันสิ้นพระชนม์แล้วในวันนี้

นายกฯ ปัดตอบ ผลสำรวจอยากให้ปรับ ครม.

“นายกฯ อิ๊งค์” ไม่ตอบคำถามผลสำรวจอยากให้ปรับ ครม. บอกพรุ่งนี้ตอบทีเดียว ก่อนแซว “ประเสริฐ” ปรับให้แล้ว เหตุพูดตำแหน่ง “จุลพันธ์” ผิด จาก รมช.คลัง เป็น รมช.มหาดไทย

Pope inaugurated the Holy Year on Christmas Eve on December 24, 2024

เปิดพระประวัติโป๊ปฟรังซิส

วาติกัน 21 เม.ย.- เว็บไซต์ข่าวโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี (CNBC) ของสหรัฐ เปิดพระประวัติที่น่าสนใจ 10 ประการของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ที่สิ้นพระชนม์วันนี้ (21 เม.ย.68) ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา ประการที่ 1 ทรงเป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันและเยสุอิตคนแรก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส มีพระนามเดิมว่า ฮอร์เก มาริโอ เบร์โกกลิโอ ประสูติวันที่ 17 ธันวาคม 2479 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เป็นพระสันตะปาปาลาตินอเมริกันคนแรกของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก แตกต่างจากผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาเกือบ 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิตาลี ทรงมาจากนอกทวีปยุโรปในฐานะพระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 และเป็นนักบวชคณะเยสุอิตคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ประการที่ 2  ทรงมีพื้นเพมาจากอิตาลี แม้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสประสูติในอาร์เจนตินา แต่ท่านมีมรดกทางชาติพันธุ์จากอิตาลี จากการที่บิดามารดาเป็นผู้อพยพชาวอิตาลี บิดาทำงานเป็นนักบัญชีในทางรถไฟ ขณะที่มารดาอุทิศตนให้กับการเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ประการที่ 3 ทรงศึกษาด้านเคมีและปรัชญา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสศึกษาปรัชญาและมีปริญญาโทในด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยบัวโนสไอเรส ทรงศึกษาในโรงเรียนเทคนิคและได้ฝึกอบรมเป็นช่างเทคนิคเคมี ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งอัครสังฆมณฑลบิญญา เดโวโต […]