ทำเนียบฯ 18 ม.ค.-มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและจำนองอสังหาฯ เหลือ 0.01% เริ่มมีผลบังคับ 18 ม.ค.65 คลังคาดกระตุ้นภาคอสังหาฯ 2.91 แสนล้านบาท ดันจีดีพี 0.58 % หนุนเจรจาหนี้ฟื้นผู้ประกอบการ
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย รวม 4 ฉบับ เกี่ยวกับมาตรการลดค่าการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 และค่าจดทะเบียนจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 ม.ค. 2565 หวังช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 รักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ช่วยเหลือให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องและผู้ประกอบการกลับมาประกอบธุรกิจได้เร็วขึ้น
สำหรับการปรับลดค่าจดทะเบียนโอนและจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 2 กรณี ประการแรก เพื่อลดภาระให้กับประชาชนที่มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับการลดค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว และคอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท วงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท และมีการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2565
กระทรวงการคลัง คาดว่ามาตรการดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายอสังหาฯ ประมาณ 2.91 แสนล้านบาท ช่วยเพิ่มการบริโภคในประเทศ 7.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มการลงทุนประมาณ 1.35 แสนล้านบาท และส่งผลให้จีดีพีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.58
ประการที่ 2 มาตรการลดค่าธรรมเนียม สนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการลดค่าจดทะเบียนโอนและจดจำนองในอัตราเดียวกันกับกรณีแรก เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับกรณีการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างลูกหนี้ รวมถึงผู้ค้ำประกันกับสถาบันการเงิน หรือกับบริษัทที่มิใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิต บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล บริษัทสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ บริษัทสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด ธุรกิจให้เช่าซื้อ ให้เช่าแบบลีสซิ่ง เป็นต้น
สำหรับกรณีลดค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 2565 -31 ธ.ค. 2569 เป็นเวลา 5 ปี กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยเหลือให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือจนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และสามารถฟื้นฟูฐานะและกิจการ สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ ส่วนเจ้าหนี้และระบบสถานบันการเงินในภาพรวมมีต้นทุนลดลงและสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น .-สำนักข่าวไทย