กรุงเทพฯ 21 ธ.ค.- BRI เข้าเทรดวันแรกสูงกว่าราคา IPO 4.7% เผยปี 2565 วางแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 10,800 ล้านบาท
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย เมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานกรรมการ ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บริทาเนีย ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของ บมจ. บริทาเนีย ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 8,953 ล้านบาท ในวันที่ 21 ธันวาคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BRI”
ทั้งนี้ หุ้น BRI เปิดการซื้อขายที่ราคา 11.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.7% จากราคาเสนอขายสุดท้าย IPO ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI เปิดเผยว่า BRI เป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและเป็นบริษัทแกนหลักหรือ Flagship Company ของ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นับจากก่อตั้งบริษัทฯ ในปี 2559 สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2560 บริษัทฯ พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ 1 โครงการ และเพิ่มเป็น 21 โครงการในปี 2564 สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 515.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2,342.09 ล้านบาทในปี 2563 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 113.16% และในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เติบโต 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,845.59 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิปี 2561 อยู่ที่ 71.65 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 348.72 ล้านบาทในปี 2563 และงวด 9 เดือนของ 2564 มีกำไรสุทธิ 452.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 290.08 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มาจากการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นในทำเลที่ตั้งที่สอดคล้องกับความต้องการซื้อบ้านจัดสรรที่มีอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของเมือง ระบบสาธารณูโภค และระบบขนส่งมวลชน
หลังจากการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ จะนำเงินไปใช้พัฒนาโครงการ ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยในปี 2565 วางแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 10,800 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางและกลางบน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด โดยจะขยายการเปิดโครงการในจังหวัดใหม่ๆ ได้แก่ ระยองและอุดรธานี โดยระยองถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพจากการพัฒนาโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และมีนิคมอุตสาหกรรมอยู่เป็นจังหวัด ส่วนอุดรธานีถือเป็นเมืองเศรษฐกิจชั้นนำของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีจำนวนประชากรและกำลังซื้อสูง .-สำนักข่าวไทย