กรุงเทพฯ 23 พ.ย.- เอ็กโก กรุ๊ป คุยกำลังผลิตเพิ่มปี 64 เกินเป้า 1 พัน MW ส้มหล่นกำไรจากราคาถ่านหินพุ่ง ปูพรมขยายลงทุนสหรัฐฯ พร้อมดันธุรกิจมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จนถึงปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เป็นโครงการแรก ตามมาด้วยการเข้าไปลงทุนใน “เอเพ็กซ์” บริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เอ็กโก กรุ๊ป มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่โครงการใหม่อีกหลายโครงการในอนาคต และส่งผลให้ปี 64 มีกำลังผลิตใหม่เกินเป้าหมายที่ 1 พัน เมกะวัตต์ และในขณะนี้กำลังวางแผนเพิ่มจะขยายกำลังผลิตปีหน้าให้มากกว่าปีนี้ โดยตามแผนการลงทุน 5 ปี (2564-2568 ) จะมีเงินลงทุนรวม 1.5 แสนล้านหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี
“รัฐบาลสหรัฐวางแผนเพิ่มกำลังผลิตพลังงานทดแทน เป็น 1 ล้านเมกะวัตต์ ในปี ค.ศ.2035 การที่เราเข้าไปปักธงลงทุนในสหรัฐก็มีโอกาสเติบโตมากขึ้น โดยในส่วนของเอเพ็กซ์ก็มีกำลังผลิตตามแผนราว 3 หมื่น เมกะวัตต์ ในขณะที่เราก็ยังมีดีลในการเจรจาซึ่งจะเพิ่มกำลังผลิตได้อีกใน 8 ประเทศที่เราลงทุน” นายเทพรัตน์กล่าว
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า ปีนี้ผลดำเนินการที่ออกมาดี และคาดหวังจะมีกำไร สร้างผลตอบแทนร้อยละ 9 แก่ผู้ถือหุ้น ก็น่าจะเป็นไปตามแผน ซึ่งนอกจากจะมาจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพ กำลังผลิตใหม่ที่เข้ามาแล้ว ยังมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา น้ำเทิน 2 และไซยะบุรี โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ที่ได้รับอานิสงส์จากปริมาณน้ำที่มาก และยังมาจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียที่ยอดขายสูงจากราคาถ่านหินที่สร้างสถิติสูงสุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เอ็กโก้ ยังมีแผนจะขายเหมืองถ่านหิน และหลังจากโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทหมดอายุสัญญาแล้ว บริษัทก็ไม่มีแผนที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกต่อไป เพื่อเดินหน้าตามแผน ขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี 2573
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี64 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) 3,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 370 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 414 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้า 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 71% โดยปัจจุบันกังหันลม 2 ต้น จำนวน 16 เมกะวัตต์ ได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน และ 11 พฤศจิกายน 64 ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 94% นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงาน ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการ “ขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก่อสร้างแล้วเสร็จ 89% ในขณะที่โครงการ “นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง” อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี อยู่ระหว่างหารือกับผู้นำเข้าอื่นๆ ว่ามีโอกาสนำเข้าร่วมกันเพื่อให้ต้นทุนต่ำสุดหรือไม่ หากต้นทุนต่ำมีช่วงเวลาเหมาะสมก็พร้อมนำเข้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 5,959 เมกะวัตต์.-สำนักข่าวไทย