กรุงเทพฯ 28 ต.ค.-ผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรม ย้ำมีทั้งกระทบและไม่กระทบมากนักทั้งทางตรงและทางอ้อม
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในระดับปานกลางถึงมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงเสนอขอให้ภาครัฐช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 การปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 – 6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้ง ดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1.ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับใด
อันดับที่ 1 : กระทบปานกลาง 49.3%
อันดับที่ 2 : กระทบมาก 38.0%
อันดับที่ 3 : กระทบน้อย 12.7%
2.ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน
อันดับที่ 1 : นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 76.7%
อันดับที่ 2 : การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 68.7%
อันดับที่ 3 : ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า 53.3%
อันดับที่ 4 : อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาวในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก 51.3%
3.ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจท่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ
อันดับที่ 1 : ต้นทุนด้านพลังงาน 10 – 20% 46.0%
อันดับที่ 2 : ต้นทุนด้านพลังงาน น้อยกว่า 10% 24.0%
อันดับที่ 3 : ต้นทุนด้านพลังงาน 30 – 50% 20.0%
อันดับที่ 4 : ต้นทุนด้านพลังงาน มากกว่า 50% 10.0%
4.แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด
อันดับที่ 1 : ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น 88.0%
อันดับที่ 2 : ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น 84.0%
อันดับที่ 3 : เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน 34.0%
อันดับที่ 4 : ขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน 25.3%
5.ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 66.0%
อันดับที่ 2 : ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 – 6 เดือน เพื่อลดภาระผู้ประกอบการ 56.7%
อันดับที่ 3 : จัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุน เพื่อชดเชยและตรึงราคาพลังงานทุกประเภท 54.0%
อันดับที่ 4 : ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน LPG และ NGV 53.3%
6.ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน
อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 74.7%
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 72.7%
อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อน 64.0%
อันดับที่ 4 : ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 44.0%
7.ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดและประหยัดพลังงาน 77.3%
อันดับที่ 2 : นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิตและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุน 73.3%
อันดับที่ 3 : การใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง เช่น Solar cell, Biogas, Biomass 71.3%
อันดับที่ 4 : สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงานอย่างประหยัด 59.3% .-สำนักข่าวไทย