กรุงเทพฯ 25 ส.ค. – รมว.คลัง ระบุรัฐบาลพร้อมออกมาตรการผลักดันเศรษฐกิจเติบโต 4-5% ในปี 2565
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัญมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Shaping Thailand’s Readiness for Post COVID-19 Economic Opportunities” ในงาน Thailand Focus 2021 ภายใต้แนวคิด “Thriving in the Next Normal” จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระหว่างวันที่ 25-27 ส.ค.นี้ ว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตถึง 7.5% ในไตรมาส 2/64 แต่สภาพการณ์ทั่วไปของเศรษฐกิจก็ยังคงไม่แข็งแกร่งนักจกาสถานการณ์โควิด-19 โดยที่อัตราการเติบโตเทียบระหว่างสองไตรมาสนับตั้งแต่ต้นปีนี้มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% การระบาดระลอกที่ 2 และ 3 ส่งผลให้การฟื้นตัวอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้
ที่ผ่านมาหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ ในประเทศปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลง อย่างเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดคาดการณ์ลงมาอยู่ที่ 0.7% สำหรับปีนี้ และ 3.7% สำหรับการฟื้นตัวในปี 65 ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับลดคาดการณ์ปีนี้ลงมาอยู่ที่ 0.7-1.2% จากเดิม 1.5-2.5%
สำหรับปี 65 รัฐบาลจะทุ่มสรรพกำลังและทรัพยากรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้โมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และสมุยพลัสที่ตอนนี้ขยายไปครอบคลุมนักท่องเที่ยวจากจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ของไทย การระบาดที่ลดลงจะทำให้รัฐบาลสามารถหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 4-5% ในปี 65
รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อโควิด-19 เริ่มระบาดเมื่อต้นปีที่แล้วได้ออกมาตรการด้านการเงินอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการจัดหาวัคซีนและเร่งการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ พ.ร.ฎ.เงินกู้สองฉบับที่มีมูลค่ารวม 1.5 ล้านล้านบาทได้รับการอนุมัติ โครงการต่าง ๆ ภายใต้เงินกู้ฉุกเฉินก้อนแรก 1 ล้านล้านบาทถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะที่โครงการภายใต้เงินกู้ก้อนที่ 2 จำนวน 500,000 ล้านบาทก็เริ่มต้นขึ้นแล้วและจะไปสิ้นสุดในปลายปีงบประมาณหน้า
ตัวอย่างของโครงการช่วยเหลือด้านการเงินที่กระทรวงการคลังได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่
- โครงการเราชนะ ซึ่งเป็นการใช้เงินช่วยเหลือ 1000 บาท/คน/สัปดาห์ สำหรับคนที่มีคุณสมบัติตามกำหนด เป็นเวลาติดต่อกันสองสัปดาห์
- เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงินช่วยเหลืออีก 200 บาทให้แก่ผู้ถือบัตรเป็นเวลาหกเดือนติดต่อกัน
- เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ที่จะให้เงินเพิ่มขึ้นอีก 200 บาทต่อเดือน โดยอิงกับเลขที่บัตรประชาชน เป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน
- โครงการคนละครึ่งเฟส 3 สำหรับผู้ที่มาลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนครึ่งหนึ่งเมื่อซื้อสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
- โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รัฐบาลออก e-voucher ให้แก่ผู้ที่ลงทะเบียนสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหาร และบริการเพื่อรับเงินคืนจากการเสียภาษีมูลค่า เมื่อซื้อของหรือบริการจากร้านค้าที่มาลงทะเบียนไว้
นอกจากนั้น ก็ยังมีโครงการที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนภายใต้มาตรา 33, 39 และ 40 การช่วยเหลือยังรวมไปถึงนายจ้างเป็นบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย ที่ว่าจ้างคนงานไม่เกิน 200 คน ส่วนนักเรียนและนักศึกษาก็ได้รับการช่วยเหลือทางด้านค่าเล่าเรียนเพื่อผ่อนเบาภาระของผู้ปกครองและตัวผู้เรียนเองด้วย และรัฐก็ยังมีโครงการช่วยจ่ายบางส่วนของค่าบริการสาธารณอย่างเช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา เพื่อลดภาระของครัวเรือนอีกด้วย
ในส่วนของมาตรการด้านการเงิน กระทรวงการคลังได้ออกนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้สถาบันการเงินเหล่านี้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในโครงการพักการชำระหนี้เป็นเวลาสองเดือนสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)
นายอาคม กล่าวว่า SMEs ได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการควบคุมการระบาด แต่ก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากรัฐบาล เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ โครงการด้านการเงินอื่น ๆ เพื่อประคองภาระหนี้ของทั้งครัวเรือนและบริษัทก็อย่างเช่น การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของซอฟท์ โลน, การค้ำประกันสินเชื่อ, การพักหนี้, คลินิกแก้หนี้ รวมทั้งการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้
ขณะที่สถานภาพทางด้านการเงินของไทยนั้นยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการกู้ยืมเป็นจำนวนเงินที่สูง แต่สัดส่วนของหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) นั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยอยู่ที่ 56.1% และคาดหมายว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP นี้จะอยู่ต่ำกว่า 60% ในปลายปีงบประมาณนี้ อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพ และการมีวินัยการคลังอันเข้มงวด หากต่อไปมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งตั้งขึ้นมาภายใต้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐก็สามารถที่จะทบทวนเพื่อที่จะยกระดับเพดานดังกล่าวได้
“เราสามารถที่จะคงวินัยทางด้านการเงินเอาไว้ได้แม้ในยามที่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มระดับของหนี้สาธารณะขึ้น อันเนื่องมาจากการที่เราสามารถคงการจ่ายดอกเบี้ยไว้ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากยุทธศาสตร์การกู้ยืมที่หลากหลายโดยผ่านตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นที่สภาพคล่องสูง
ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายผ่อนคลายทางการเงินทำให้บรรดาอัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ นั้นอยู่ในระดับเป็นประวัติการณ์ และก็น่าจะคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ไปจนกว่าเศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวได้ การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรัฐบาลจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยไม่กระทบกับสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งของประเทศ”นายอาคม กล่าว
ขณะที่เรายังคงต่อสู้อยู่กับการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลก็ได้เตรียมการเพื่อจะเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลับมามีความก้าวหน้าอีกครั้งเมื่อการระบาดนี้จบลง และโควิด-19 ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายไปแต่อย่างใด แท้จริงแล้ว ทำให้เรามุ่งมั่นมากขึ้นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่หมายรวมไปถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
สำหรับยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลวางไว้เพื่อเป็นรากฐานแห่งการเติบโตในระยะยาวของประเทศ ได้แก่
ประการแรก แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมโดยการสนับสนุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสโดยถ้วนหน้า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากช่วงที่เกิดโรคระบาดนั้นอาจจะไม่เท่ากันในทุกภาค และยิ่งทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงให้คำมั่นว่าจะแก้ไขปัญหาความยากจน ในขณะเดียวกันก็สร้างการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันโดยผ่านมาตรการรองรับทางสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น บัตรสวัสดิการสังคม ที่สามารถช่วยลดภาระการเงินของกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ
ประการที่สอง ความต่อเนื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ถนน, ทางรถไฟ, การบิน และพลังงาน โครงการเหล่านี้มีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยมาก และจะทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ อย่างเข้มแข็งมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เราได้ลงทรัพยากรหลากหลายไปยังเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในฐานะที่เป็นตัวกระตุ้นนวัตกรรมและอุตสาหกรรมในอนาคต การเพิ่มแหล่งระดมทุนจากเดิมที่มีการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน มาสู่การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกิจการของรัฐ PPP ก็สนับสนุนโครงการเหล่านี้ได้ดีมากขึ้น
ประการที่สาม ลดภาวะเรือนกระจกและหาวิธีแก้ไขปัญหาภาวะภูมิอากาศแปรปรวน รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุดจนให้อาจถึงระดับเป็น 0 ภายในปี 2065 ซึ่งประเทศไทยก็ได้กำหนดแผนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย อย่างเช่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานทางเลือก, เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy), ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรม รวมทั้งการปลูกป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่อุตสาหกรรมสีเขียวในรูปแบบของพันธบัตรเพื่อการพัฒนายั่งยืน เพื่อให้สามารถสนับสนุนการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในระดับโลกได้
ประการที่สี่ สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการแข่งขัน เราจำเป็นจะต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมของประเทศที่มีความแข็งแกร่งและมีศักยภาพอย่างมาก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในแง่การพัฒนานวัตกรรมและกระบวนการการผลิต, การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์, การเป็นศูนย์กลางโลจิสติก และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
ประการที่ห้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ประเทศไทยควรจะปรับโครงสร้างและสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบสนองกับความต้องการของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 13 ชนิดจะทำให้ผลผลิตแห่งชาติและรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะศูนย์กลางข้อมูลและดิจิทัล, อุตสาหกรรมเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความฉลาด, และเทคโนโลยีชีวภาพ
ประการที่หก สร้างความเข้มแข็งและความสามารถการแข็งขันสำหรับธุรกิจรายย่อย (MSMEs) ภาคธุรกิจรายย่อยนั้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของเรา เพราะคิดเป็นร้อยละ 42 ของมูลค่า GDP ทั้งหมด รัฐบาลกำลังเดินหน้าส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ เปิดโอกาสให้เข้าถึงเม็ดเงินลงทุนได้ และสร้างโอกาสที่เข้าร่วมในการจัดซื้อของภาครัฐ
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดทุนของไทยนั้นมีความสมดุลอย่างยิ่ง ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจ และความสามารถใจการแข่งขันของประเทศ ยังทำให้เราสามารถที่จะจัดการกับสภาพเศรษฐกิจได้ดีขึ้น รวมไปถึงการดูดซับแรงกระแทกต่าง ๆ เมื่อมองไปข้างหน้า การส่งเสริมศักยภาพและประสิทธิภาพของตลาดทุนหลากหลายรูปแบบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำให้เศรษฐกิจในห้วงเวลาหลังโควิด-19 กลับมาแข็งแกร่ง
เหนือสิ่งอื่นใด ในโลกหลังโควิด-19 การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนโดยกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น รถไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล ตลาดทุนจะมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนสำหรับอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเหล่านี้ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่กลุ่มสตาร์ทอัพด้วย โดย ตลท.ได้นำเสนอ LIVE อันเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการระดมทุนของ SMEs และสตาร์ทอัพ และหวังว่าในอนาคตจะเห็นนวัตกรรมด้านการเงินมากขึ้น
“เส้นทางข้างหน้ามิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอนนานัปการ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นเด่นชัดคือพันธสัญญาของรัฐบาลที่จะทำอย่างสุดกำลังเพื่อเอาชนะโรคระบาด ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ผมเชื่อว่าเราจะสามารถมองไปในอนาคตแล้วเห็นโอกาสหลากหลายในทางเศรษฐกิจสำหรับทุกคน”นายอาคม กล่าว. – สำนักข่าวไทย