นนทบุรี 12 ก.ค.-อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศแจ้งผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมก่อนนำเข้าเกลือ ย้ำเกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 โดยมีสาระสำคัญคือ
1. ก่อนนำเข้า: ผู้นำเข้าจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือต่อกรมการค้าต่างประเทศ (https://bit.ly/3qnGe2c)
2. ขณะนำเข้า: ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) หรือหลักฐานอนุญาตให้ส่งออกที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจจากประเทศผู้ผลิตหรือประเทศผู้ส่งออก แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้า
3. หลังนำเข้า: ต้องรายงานการนำเข้า การครอบครอง และวัตถุประสงค์การใช้ต่อกรมการค้าต่างประเทศทุกเดือนด้วย (https://e-report.dft.go.th)
4. ประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวเป็นการจัดระเบียบการนำเข้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่าเกลือที่นำเข้ามาใครเป็นผู้นำเข้าและมีวัตถุประสงค์ไปใช้อย่างไรไม่ว่าจะเป็นการบริโภคหรืออุตสาหกรรม เพื่อสามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิดและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างดำเนินการออกประกาศกรมการค้าต่างประเทศเพื่อกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือ การรายงาน และการตรวจสอบเกลือ ดังนั้น ในช่วงนี้จนถึงวันที่ 3 กันยายน 2564 ผู้นำเข้าที่ยังไม่เคยมีบัตรประจำตัวผู้นำเข้าส่งออกของกรมการค้าต่างประเทศ ขอให้มาติดต่อ ทำบัตรประจำตัวฯ กับกรมการค้าต่างประเทศไว้ก่อน และเมื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ 4 กันยายน 2564 แล้ว กรมการค้าต่างประเทศจะเปิดระบบให้ผู้นำเข้าขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือตามข้อ 1 ต่อไป นอกจากนี้ กรมฯอยู่ระหว่างพัฒนาระบบรายงานการนำเข้าทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวก แก่ผู้ประกอบการในการดำเนินการตามข้อ 3 ด้วย
“ประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ข้างต้น เป็นการจัดระเบียบนำเข้าเพื่อกำกับดูแลการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ผู้นำเข้ายังสามารถนำเข้าได้ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ โทร. 02 547 5120 หรือสายด่วน DFT 1385 และเว็บไซต์ www.dft.go.th”นายกีรติ กล่าว.-สำนักข่าวไทย