กรุงเทพฯ 28 มิ.ย.- 11 องค์กรร่วมก่อตั้งเครือข่าย Carbon Markets Club ลงนามออนไลน์ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและใบรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบดิจิทัล มุ่งสู่สังคม Net Zero
วันนี้ (28 มิ.ย.) ได้มีการจัดพิธีลงนามข้อตกลงเบื้องต้น ( MOU )ในรูปแบบออนไลน์ระหว่างพันธมิตร 11 หน่วยงาน สมาชิกตั้งต้น เครือข่าย Carbon Markets Club เพื่อการร่วมกันลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำธุรกิจผ่านการซื้อขายคาร์บอน ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในขณะที่ ทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนให้เกิดโอกาสที่จะขยายเครือข่ายฯ ไปในวงกว้างขึ้น
11 องค์กรฯ จะช่วยกันสนับสนุน เผยแพร่ ส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอน ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนเครดิตในระบบ T-VER โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) โดย กฟผ. การซื้อขายในปัจจุบันยังเป็นรูปแบบซื้อขายกันโดยตรง (over the counter) อยู่ ซึ่งจะร่วมพัฒนาการซื้อขายไปสู่ platform ระบบดิจิทัล รองรับตั้งแต่การทำ e-registration กับหน่วยงานผู้ขึ้นทะเบียนและให้การรับรอง ไปจนถึงการทำ e-carbon trading และนำ blockchain มาใช้ในการซื้อขายสู่การทำธุรกรรมทางการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือที่เรียกกันว่า DeFi หรือ decentralized finance โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสามารถทำได้ทั้งรูปบุคคลและรูปแบบขององค์กรหรือบริษัท
กลุ่มสมาชิกตั้งต้นของเครือข่ายฯ ยังได้ทำการซื้อขายคาร์บอนเป็นปฐมฤกษ์ ในอัตรา 25 บาท/ ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e) ทั้งคาร์บอนเครดิต ในระบบ T-VER และ REC รวม 2,564 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e) เทียบได้กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ประมาณ 298,140 ต้นหรือ 1,491 ไร่ ซึ่งผู้ขายคาร์บอนเครดิตคือ บีซีพีจี และผู้ขายเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนคือ กฟผ. และจะนำรายได้จากการจำหน่ายไปทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมต่อไป
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจากฯ เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ประเทศต่างๆ ในโลกต้องร่วมกันพยายามรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากไปกว่า 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาดนับเป็นเรื่องสำคัญ และการซื้อขายคาร์บอนจะช่วยตอบโจทย์นี้
“หน่วยงานผู้มีรายได้จากอุตสาหกรรมหนักหรือใช้พลังงานฟอสซิล ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นผ่านการซื้อขายคาร์บอนหรือการจ่ายภาษีทางอ้อม เพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายคาร์บอนไปอุดหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ส่งผลให้เราเริ่มเห็นมาตรการทางการค้า ที่ไม่ใช่ภาษี หรือ non-tariff barriers จากประเทศต่างๆ เช่น European Green Deal เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน โดยราคาที่อียู ขณะนี้อยู่ที่50 ยูโรต่อตันและจะเพิ่มเป็น 125 ยูโรต่อตันในปี 73 การจัดตั้งเครือข่าย Carbon Markets Club จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายและโอกาสทางการค้าในรูปแบบใหม่ๆ นี้ได้ และจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่สังคม Net Zero” นายชัยวัฒน์ กล่าว. -สำนักข่าวไทย