กรุงเทพฯ 27 พ.ค. – ปตท.เตรียมนำเข้ายา “เรมเดซิเวียร์” บริจาครัฐ ใช้รักษาโควิด-19 ลดความเสี่ยงผู้เสียชีวิต ส่วนจะมีการซื้อวัคซีนทางเลือกมากน้อยเพียงใด แล้วแต่การจัดสรรของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ในปลายเดือนมิถุนายนนี้ ปตท.โดยบริษัทลูกในเครือ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ซึ่งร่วมทุนกับ Lotus บริษัทยาแห่งไต้หวัน เตรียมนำเข้ายาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) อังกฤษ ออสเตรเลีย อินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยจะนำเข้ามา 2,000 ขวด เพื่อบริจาคให้รัฐบาลไทยไปบริหารจัดการในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยปัจจุบันนี้ประเทศไทยนำเข้ามาแล้ว 4,000 ขวด และมีความจำเป็นต้องใช้มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันในส่วนยาต้านไวรัสเพื่อใช้รักษาอาการของผู้ป่วยโควิด-19 ได้แก่ ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) พบว่าผู้ใช้บางส่วน เช่น หญิงตั้งครรภ์ มีอาการแพ้ ดังนั้น ก็เชื่อว่า ยาเรมเดซิเวียร์ จะมาช่วยคนไทยผู้ป่วยโควิด-19 หายจากโรค ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ส่วนการใช้วัคซีนทางเลือก ซึ่ง ปตท. ลงนามกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐบาล ในการจัดหาและนำเข้าวัคซีน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนนั้น จะมีปริมาณเท่าใด หรือเป็นยี่ห้อใด ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดย ปตท.จะนำไปใช้สำหรับพนักงานของกลุ่ม ปตท. ซึ่งก็จะช่วยลดภาระการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลได้ส่วนหนึ่ง และเป็นการหนุนเสริมการบริหารการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชน ในขณะเดียวกัน ปตท.ก็พร้อมร่วมเป็นพื้นที่กระจายวัคซีนของภาครัฐ นอกเหนือจากปั๊มน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ใน กทม. ก็พร้อมจะใช้พื้นที่อื่นๆ ของกลุ่ม ปตท. ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดระยอง และจังหวัดอื่นๆ ในการเป็นพื้นที่กระจายวัคซีนให้ทั่วถึง
สำหรับการช่วยเหลือสังคมในวิกฤติโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในขณะนี้ กลุ่ม ปตท. มีการใช้เงินไปแล้ว 170 ล้านบาท จากที่ตั้งกรอบวงเงินไว้ราว 200 ล้านบาท วงเงินช่วยเหลือจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็แล้วแต่สถานการณ์ โดยที่ผ่านมาการช่วยเหลือก็จะดูถึงความต้องการความจำเป็นในการช่วยเหลือเป็นหลัก โดยจะมีการสำรวจความต้องการโดยรวม เช่น การบริจาคเครื่องช่วยหายใจไปแล้วกว่า 300 เครื่อง แก่โรงพยาบาลต่างๆ รวมถึงออกซิเจน และอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ในแง่ลมหายใจด้านเศรษฐกิจ ที่ภาวะเช่นนี้ การส่งออกเป็นเครื่องจักรหลักสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ ทางกลุ่ม ปตท.ได้ร่วมบริหารงานให้เดินเครื่องเต็มที่ เพื่อสร้างรายได้ของประเทศ เช่น ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ส่งออก โดยภาวะวิกฤติ กลุ่ม ปตท.ได้ใช้แนวทางบริหารความเสี่ยงทุกด้าน เข้ามาร่วมดูแล วางแผนการทำงาน เช่น ระดับโรงงาน ก็วางแผนป้องกันการติดเชื้อของพนักงานอย่างเข้มข้น นับเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/64 ออกมาดี
“ผลประกอบการของ ปตท. ที่ดีขึ้นในไตรมาส 1/64 ที่มีกำไร 32,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 นอกจากสถานการณ์น้ำมันและปิโตรเคมีที่ดีขึ้นแล้ว ยังมาจากกลุ่ม ปตท. บริหารจัดการการดำเนินงานได้ operation ทำได้อย่างดีเยี่ยม ไม่สะดุด มีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะดำเนินการภายใต้สถานการณ์โควิด-19” – สำนักข่าวไทย