กรุงเทพฯ 17 พ.ค. – ไทยออยล์ ลดกลั่นเบนซิน-น้ำมันเครื่องบิน ในไตรมาส 1/64 หลังโควิดระบาดระลอก 2-3 คาดผลจากการเพิ่มการฉีดวัคซีนทั่วโลกจะทำให้มาร์จินครึ่งหลังของปีขยับดีขึ้น
น.ส.ทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บมจ.ไทยออยล์ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/64 ได้เร่งการลงทุน 10,000 ล้านบาท ในโครงการพลังงานสะอาด CFP ขยายกำลังกลั่น ซึ่งสิ้นเดือนมีนาคม มีความคืบหน้าโครงการร้อยละ 67 โดยก่อนหน้านี้มีความล่าช้าจากการระบาดโควิด-19 ระลอกแรกในปี 63 ส่วนการระบาดระลอก 2-3 ยอมรับมีผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ แต่ไทยออยล์ยังคงเดินเครื่องกลั่นเต็ม 100% แต่ลดการผลิตน้ำมันเครื่องบิน จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 7 ลดกำลังกลั่นกลุ่มเบนซิน เหลือร้อยละ 19 และนำผลิตภัณฑ์ไปผลิตอะโรเมติกส์ทดแทน ซึ่งมีมาร์จินดีมากตามทิศทางราคาตลาดโลก
สำหรับการแสวงหาโอกาสร่วมทุนยังมองในการต่อยอดธุรกิจ เช่น ร่วมทุนธุรกิจโอเลฟินส์ การหาพันธมิตรเพิ่มเติม โดยเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทย่อย “ท็อปโซลเว้นท์” ซื้อหุ้น JSKEM ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์และสารทำละลายในสิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 80% จากผู้ถือหุ้นเดิม วงเงินราว 45 ล้านบาท คาดดำเนินการโอนหุ้นแล้วเสร็จมิถุนายนนี้ นับเป็นการขยายฐานธุรกิจโซลเว้นท์ไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ ผลดำเนินการไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 126 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 13,754 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาส 1 ปีก่อนอยู่ที่ 50.9 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทมีกำไรจากสตอกน้ำมัน จำนวน 4,656 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุนสตอกน้ำมัน 10,772 ล้านบาท ในขณะที่มาร์จินอะโรเมติกส์กลับมาดีขึ้น
ไทยออยล์ คาดว่า ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งธุรกิจโรงกลั่นฯ และปิโตรเคมี หลังจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว หลังจากการฉีดวัคซีนทั่วโลกที่คาดว่าภายในไตรมาส 3 ปีนี้ หลายประเทศจะมีการฉีดร้อยละ 50-75 ส่งผลให้การติดเชื้อลดลง คนมั่นใจการเดินทางมากขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันจะเฉลี่ยช่วงครึ่งหลังปีนี้อยู่ที่ระดับ 65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับไตรมาส 1/2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) คาดว่ายังฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 2.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล. – สำนักข่าวไทย