กรุงเทพฯ 19 เม.ย. – ประธานกรรมการหอการค้าไทยจัดประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กลุ่มผู้บริหารรายใหญ่ของประเทศค่ำนี้ หวังระดมสมองเสนอแนวทางคุมโควิด-19 ชงนายกฯ พิจารณา ย้ำหากคุมอยู่ภายใน 2 เดือน โอกาสจีดีพีของประเทศยังโตเป็นบวกร้อยละ 2.8 ระบุเอกชนพร้อมสนับสนุนภาครัฐเต็มแบบไม่ต้องกังวล
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงค่ำวันนี้ จะมีการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างกรรมการหอการค้าไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทใหญ่ของไทย กว่า 40 บริษัท ในทุกที่เกี่ยวข้อง เช่น กลูเกิล เฟซบุ๊ก ไลน์ ไอบีเอ็ม กลุ่มธนาคาร ยูนิลีเวอร์ ธุรกิจโรงแรม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อระดมสมองเร่งหารือแนวทางควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เห็นได้เป็นอย่างเต็มทีและเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการระบาดโควิด-19 รอบใหม่นี้รุนแรงและรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนจะต้องร่วมไม้ร่วมมือกับภาครัฐและพร้อมที่จะสนับสนุนในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านงบประมาณ การจัดหาวัคซีนทางเลือก สถานที่ อุปกรณ์ด้านการสื่อสาร บุคลากร หรือแม้แต่ห้องเย็น การกระจายวัคซีนไปตามสถานทีต่างๆทั่วประเทศ หรือช่วยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับวัคซีนในแต่ละชนิดให้กับประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องอีกด้วย ซึ่งภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือภาครัฐให้สามารถเดินหน้าฉีดวัดซีนแก่ประชาชนให้ได้รับวัดซีนกันได้ทั่วหน้าและทั่วถึงเพราะเห็นว่าที่ผ่านมาภาครัฐยังมีข้อจำกัดแม้จะมีวัดซีนมาแล้วแต่การฉีดวัคซีนยังมีความล่าช้าอยู่พอสมควร ดังนั้น หากภาครัฐต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือหรือสนับสนุนในด้านใดภาคเอกชนก็พร้อมที่จะช่วยภาครัฐอย่างเต็มที
ทั้งนี้ ผลประชุมร่วมกับภาคเอกชนในคืนนี้จะเร่งสรุปเพื่อเตรียมนำเสนอให้กับภาครัฐบาล โดยทางหอการค้าไทยได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอพบไปก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อนายกรัฐมนตรีกำหนดวันให้เอกชนพบมาก็เชื่อว่าจะนำข้อเสนอแนะในด้านต่างๆต่อนายกรัฐมนตรีได้ทันทีรวมไปถึงผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอี ว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือภาคธุรกิจเหล่านี้อย่างไร
นอกจากนี้ หากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันอย่างเต็มทีในช่วง 2 เดือนหลังจากนี้ไปเพื่อให้การระบาดโควิดน้อยลงและประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในทุกพื้นทีทั่วประเทศได้ เขื่อว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นบวกได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.8 โดยรัฐบาลจะต้องมีแผนอัดฉีดเม็ดเงินที่เหลืออยู่อีก 200,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบผ่านการช่วยเหลือโครงการต่างๆของรัฐบาลในช่วงหลังจากนี้ไปด้วย. – สำนักข่าวไทย