กรุงเทพฯ 5 เม.ย.-บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (GC) ปีนี้เล็งซื้อกิจการสินค้ามูลค่าเพิ่ม รวมทั้งทำประกันความเสี่ยงราคน้ำมันปิดขาดทุนหลังจากปี 63 ขาดทุนสตอกราคาน้ำมัน 7,156 ล้านบาท คาดปีนี้มาร์จินเพิ่มทั้งจากราคาสินค้าขยับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 3 โรงงานใหม่สร้างรายได้เต็มปี เล็งเพิ่ม EBITDA สินค้ามูลค่าเพิ่มให้มีสัดส่วนร้อยละ 75 ใน 5 ปีข้างหน้า
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มการลงทุนในธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งในส่วนของอนุพันธ์ปิโตรเคมี รวมทั้งธุรกิจใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพและธุรกิจสีเขียวให้มีสัดส่วนตามอีบิทด้า( กำไรก่อนจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย )ในร้อยละ 50 และ 25 ตามลำดับ ในปี 68 ส่วนอีบิทดาของโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะลดเหลือร้อยละ 25 จากปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 50 ซึ่งจะเป็นการรองรับทิศทางของโลก(เมกะเทรนด์)ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ สินค้าที่ลดภาวะโลกร้อน ลดการปลดปล่อยก๊าซคารบอนไดออกไซด์ ลดใช้พลังงาน มีการใช้พลังงานทดแทน และยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เพิ่มขึ้น โดยกลยุทธ์ ของ บริษัท ในปีนี้จะเน้นเจรจาซื้อกิจการ (M&A) ใน 2 กลุ่มกิจการหลักเป็น ธุรกิจข้ามชาติ ในกลุ่มพลาสติกที่มีสมรรถนะสูง (high performance plastics) และกลุ่มวัสดุเคลือบผิวและสารยึดติด (coating and adhesive) ในขณะที่ การ
ส่วนการซื้อหุ้น บมจ.วีนิไทย (VNT) เพื่อเพิกถอนหุ้นของวีนิไทยออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Delisting Tender Offer: DTO) จากผู้ถือหุ้นทุกรายในราคาเสนอซื้อต่อหุ้นไม่เกิน 39 บาท นั้น คาดว่า จะทำDTO เสร็จในไตรมาส 3/64 โดยทั้งหมดจะแล้วเสร็จในต้นปี 65 คาดจะใช้เม็ดเงินดำเนินการราว 7.5-8 พันล้านบาท มั่นใจสร้างรายได้ให้จีซีเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกัน วีนิไทย ก็มีแผนขยายผลิตพีวีซีเพิ่มขึ้น โดยจะใช้เอทีลีนเป็นวัตถุดิบเพิ่มจาก 1.9 แสนตันเป็น 3.8 แสนตัน/ปี ความร่วมมือ ก็ทำให้เกิดประโยชน์แก่จีซี ทั้งในการจำหน่ายเอทิลีน และได้รายได้เพิ่มจากการขยายตลาดอนุพันธ์ของปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ปลายน้ำที่มีราคาที่ดี และขยายตลาด CLMV ซึ่งได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ในขณะเดียวกัน การมุ่งสู่สินค้านวัตกรรมและกรีนนั้น ทางจีซีได้ตั้งวงเงินกองทุนร่วมทุน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าไปลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ ต่างๆ ที่ต่อยอดกับธุรกิจของบริษัท มีการร่วมลงทุนไปแล้ว 20-30 ล้านเหรียญ ในขณะนี้เจรจากับหลายกิจการและพร้อมที่จะเสนอต่อบอร์ด เพิ่มขยายในเงินร่วมทุนในส่วนนี้
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ มั่นใจว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ทั้งมาจากการรับรู้รายได้ 3 โครงใหม่ ในจ.ระยอง ที่ก่อสร้างเสร็จสิ้น จะได้รายได้ส่วนนี้เพิ่มไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 ประกอบกับปีนี้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 ราคาปิโตรเคมีและมาร์จิ้น ขยับดีขึ้น และบริษัทยังปิดจุดเสี่ยง จากการขาดทุนสตอกน้ำมัน ด้วยการซื้อประกันความเสี่ยงด้านราคา 100 เปอร์เซนต์ โดยสิ้นปี 63 ราคาน้ำมันดิบดูไบปิดตัวที่ราว 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยปี 63 จีซีขาดทุนสตอกน้ำมันราว 7,156 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมสตอกน้ำมันแล้ว ในปี 63 บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการใกล้เคียงปี 62 ที่ราว 7-8 พันล้านบาท แต่เมื่อรวมขาดทุนสตอกน้ำมันแล้วกำไรสุทธิ 63 จึงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท
“สำหรับการเตรียมวงเงินสำหรับการซื้อกิจการ หรือขยายงานด้านต่างๆเพื่อให้จีซี โตแบบยั่งยืนนั้น บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินการ และยังมีกรอบการกู้เงิน หรือออกหุ้นกู้เหลืออยู่จากที่ประชุมผู้ถือหุ้นปี 63 อนุมัติไว้ 4 พันล้านเหรียญ โดยเพิ่งออกไปเร็วๆนี้เป็นหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ 1,250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ” นายคงกระพัน กล่าว -สำนักข่าวไทย