กรุงเทพฯ 1 เม.ย.-บอร์ด กพช. เห็นชอบแผนเปิดเสรีก๊าซระยะที่ 2 คาดหวังต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำลง ด้าน”บีกริม-กัลฟ์” นำเข้าได้ ไตรมาส 3/64 สั่งพับแผน FSRU 5 ล้านตัน/ปี อ่าวไทย กฟผ. โดยปรับให้ไปร่วมทุนคลังแอลเอ็นจี “หนองแฟบ” ปตท.ส่วนท่อก๊าซบางปะกง-พระนครใต้ ปตท. ลงทุนใหม่ 1.1 หมื่นล้านบาท
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม วันนี้ (1 เม.ย.) เห็นชอบ แนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 ซึ่งดูทั้งด้านความมั่นคง การแข่งขันการนำเข้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน โดยในรายละเอียดให้ ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( สำนักงาน กกพ.) กำหนดรายละเอียดให้เสร็จในไตรมาส ที่ 2 /2564 และคาดว่าจะมีการนำเข้าได้ตามกรอบใหม่ นี้ในส่วนของผู้นำเข้ารายใหม่ๆ เช่น บีกริม ,กัลฟ์ ได้ในไตรมาส 3 /64 ส่วนการเปิดเสรีทั้งระบบตามแผนระยะ 3 ในอนาคต คงจะต้องมีการศึกษาต่อไป สำหรับตลาดแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1) กลุ่มภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. ตามแนวทางที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และ กพช. กำหนด (Regulated Market) ประกอบด้วย ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากตลาดเก่า( Old Supply) และผู้นำเข้า ( Shipper) ที่จัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว ( LNG )เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ ซึ่งในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วย บมจ.ปตท.,การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโรงไฟฟ้าหินกอง โดยก๊าซธรรมชาติ ส่วนนี้จะมาจากแหล่งในประเทศ (รวมพื้นที่พัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย : JDA) แหล่งจากเมียนมา และ LNG ที่นำเข้าสัญญาระยะยาว ที่ปตท.ทำไว้แล้ว (5.2 ล้านตัน/ปี) รวมทั้งกำหนดให้ก๊าซในอ่าวไทยต้องนำมาใช้ในโรงแยกก๊าซก่อน และให้ ปตท. เปิดประมูล LNG Spot Flexible ราคาถูกกว่า Pool Gas ภายใต้กำกับ ของ กกพ. ทั้งด้านปริมาณและเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้ ค่าไฟฟ้าทั้งระบบมีราคาต่ำลง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
2) กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง (Partially Regulated Market) ซึ่งในขณะนี้ มีผู้ได้รับใบอนุญาต เป็นShipper รายใหม่ ประกอบไปด้วย กลุ่มบีกริม และ กัลฟ์ เป็น จัดหา LNG ให้กับโรงไฟฟ้าตนเองหรือใช้ในภาคอุตสาหกรรม นอกเหนือจากตลาดเก่า ( Old Supply )ภายใต้การกำกับของ กกพ. ด้านปริมาณและคุณภาพการให้บริการ และกำหนดให้ LNG Terminal และท่อส่งก๊าซฯ เปิดให้บุคคลที่ 3 เข้ามาใช้และเชื่อมต่อได้ และกำหนดให้ ปตท. แยกธุรกิจท่อเป็น TSO เป็นนิติบุคคล ให้แล้วเสร็จภายใน 15 เดือน
“รายใหม่ที่ขอเป็นชิปเปอร์นำเข้า เช่น เอ็กโก้ กลุ่มร่วมทุน ปตท. ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กพช.กำหนดเปิดเสรีระยะที่ 2 ส่วน กรณีที่ สยามแก๊ส (เอสจีพี ) จะนำเข้าก๊าซมาขายเองให้กับโรงงาน โดยไม่ผ่านระบบท่อก๊าซฯ โดยจะขายผ่านระบบรถขนส่งนั้น ก็ต้องขออนุญาตเช่นกัน แต่ก็มีต้นทุนสูง จะแข่งขันได้หรือไม่” ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว
นอกจากนี้ กพช.เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าตามแผน PDP 2018 (Rev.1) รองรับโรงไฟฟ้าในเขตนครหลวง 5,420 MW ที่มีความต้องก๊าซฯราว 1,050 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยให้เดิม ให้ กฟผ. นำเข้าแอลเอ็นจีในรูปแบบโครงการ FSRU ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ก็ให้ยกเลิก เป็นให้ กฟผ.ร่วมลงทุนกับ ปตท. สัดส่วน 50 : 50 ในโครงการ LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ต.หนองแฟบ จ. ระยอง ขนาด 7.5 ล้านตัน และเห็นชอบให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้เพื่อวงเงิน ลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท และยกเลิกสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) บนระบบท่อส่งราชบุรี-วังน้อย และโครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) กลางทาง บนระบบท่อส่ง บนบกเส้นที่ 5
กพช.ยังรับทราบการส่งออกเที่ยวเรือ LNG (Reloading) สำหรับสัญญาระยะยาว ปตท. โดยมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการนำรายได้จากการส่งออก LNG (Reloading) ส่งภาครัฐประมาณ 580 ล้านบาท ซึ่งตามหลักเกณฑ์ กำหนดให้ ปตท. ต้องนำส่งรายได้ระหว่างราคาขาย LNG จริง กับราคา Pool LNG เฉลี่ยรายเดือน หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้กับภาครัฐ
กพช. ยังเห็นชอบนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า ปี พ.ศ. 2564 – 2568 กำหนด โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ หลักคือเพิ่มเติมแยกเประมาณการค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (Policy Expense : PE) เข้าไปในสูตรค่าไฟฟ้าหลักในปัจจุบันจากเดิมที่มีเพียงค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าเอฟที ซึ่งจะทำให้มีความชัดเจนว่า หากมีเงินอุดหนุนช่วยประชาชนแล้วค่าไฟฟ้าแต่ละส่วนจะเป็นเท่าใด ในขณะเดียวกัน PE ก็จะสะท้อนเทคโนโลยีไฟฟ้าที่พลังงานทดแทนจะเข้ามาในระบบเพิ่มมากขึ้น และการประมูลราคาก๊าซฯSPOT ต้นทุนต่ำลงก็จะสะท้อนส่วนนี้
ทั้งนี้ กพช.ยังเห็นชอบ ให้ตั้งคณะกรรมการบูรณาการระหว่าง กฟผ., การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธาน เพื่อดูร่วมเรื่องการลงทุนทั้งระบบสายส่ง ระบบสมาร์ทกริด การลงทุนภาพรวมเพื่อรองรับพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีใหม่ ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อน และสร้างความมั่นคง.-สำนักข่าวไทย
