กรุงเทพฯ 24 มี.ค.-รมว.คลัง หวังมาตรการ”พักทรัพย์ พักหนี้”ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวและเป็นการมองภาพรวมในระยะ 5 ปี คาดปี 2566 เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี วานนี้ (23 มี.ค.) เกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง หรือ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาทว่า เป็นการมองภาพรวมระยะยาว 5 ปี ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวของไทยจะเริ่มทยอยฟื้นตัว จากเดิมที่เคยมีนักท่องเที่ยวปีละ 40 ล้านคน โดยหลังจากเปิดประเทศช่วงปลายปี 2564 กว่าจะได้นักท่องเที่ยวกลับมาตามเดิมคงต้องใช้เวลา กว่าจะฟื้นตัวได้เต็มที่ก็ประมาณ 2-3 ปี ซึ่งทุกวิกฤติที่จะใช้เวลาฟื้นก็ต้องมีระยะเวลา เช่นเดียวกับครั้งนี้ มองว่าในปี 2566 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น
ส่วนการจัดเก็บรายได้เพื่อทดแทนรายจ่ายที่สูญเสียไปนั้นภาครัฐจะต้องเร่งยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บให้มากขึ้น รวมถึงการขยายฐานภาษี เพื่อให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในระบบฐานภาษีมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
ขณะที่การดำเนินโครงการ “คนละครึ่งเฟส 3” หลังจากโครงการเฟส 2 จะสิ้นสุดระยะเวลาโครงการในวันที่ 31 มีนาคมนี้ นายอาคม กล่าวว่า ขอเวลาประเมินผลก่อน อยากจะจัดการเรื่องร้านค้าทุจริตให้เรียบร้อยก่อน โดยตอนนี้มีคนเอาเปรียบหรือร้านค้าที่ถูกดำเนินคดีและถูกจับตาจากภาครัฐที่ส่อจะเกิดการทุจริตอยู่จำนวนหลายร้อยร้านค้า ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวง การคลังอยากจะหาวิธีทำให้รัดกุมมากขึ้นก่อนจะเปิดโครงการคนละครึ่งในระยะที่ 3 ต่อไป
นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะต้องประเมินดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ ตัวเลขการบริโภคการใช้จ่ายไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ว่ามีการฟื้นตัวมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันขณะนี้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมา อาทิ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน เราชนะ โดยรัฐบาลจะมีการประเมินผลแยกแต่ละโครงการ เนื่องจากบางโครงการมีวิธีการใช้เงินต่างกัน และประเมินผลลัพธ์รวมทุกโครงการด้วยว่าส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด
ส่วนมาตรเยียวยาข้าราชการผ่านโครงการ “เราผูกพัน” ที่เป็นการเยียวยาข้าราชการนั้นเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมก่อน ว่าจะทำอย่างไรได้ โดยต้องดูแลประชาชนให้มากที่สุดก่อน . – สำนักข่าวไทย