กรุงเทพฯ 8 มี.ค.- PTG ตั้งเป้า 5 ปีรุกธุรกิจNON-OIL สร้างรายได้มากกว่าน้ำมัน มุ่งทั้งโรงไฟฟ้าขยะ-โซลาร์, แอลพีจี, ร้านกาแฟ เตรียมไลน์ ธุรกิจ “กัญชง-กัญชา” คลอดร้านก๋วยเตี๋ยว “ร่าเริง” จุดเด่นผสมน้ำต้มใบกัญชา ส่วนราคาน้ำมันคาดพุ่งขึ้นระยะสั้นๆ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่พุ่งขึ้นในเช้านี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สูงกว่า 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นผลมาจากการตอบรับข่าว ความไม่สงบขึ้นในซาอุดีอาระเบีย หลังกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเยเมนใช้โดรนโจมตีแหล่งอุตสาหกรรมน้ำมันขนาดใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย และยังตอบรับกรณีที่ซาอุฯ และโอเปกพลัส ร่วมลดกำลังผลิตน้ำมันต่อเนื่องอีก 1 เดือน สิ้นสุด เดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นช่วงสั้นๆเท่านั้น โดยราคาน้ำมันดิบWTI จะอยู่ในช่วง 50 -60 เหรียญสหรัฐ ป็นหลัก บางช่วงอาจจะมาสูงถึง 65 เหรียญต่อบาร์เรล แต่หาก ราคาสูงกว่านี้ ก็จะทำให้ ผู้ประกอบการสหรัฐ ผลิตน้ำมันจากแหล่ง ชั้นหินดินดาน หรือเชลล์ออยล์ เพิ่มมากขึ้น เพราะมีต้นทุนเพียง 40-50 เหรียญ/บาร์เรล เมื่อผลิตเพิ่มขึ้นก็ทำให้ราคาน้ำมันต่ำลงมา
“แม้ในช่วงนี้ เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น จากที่มีวัคซีนคุมโควิ-19 ออกมา และข่าวต่างๆแม้จะผลักดันให้ราคาน้ำมันขยับพุ่ง แต่จากที่กำลังผลิจตของเชลล์ออยล์เป็นตัวแปรสำคัญจึงคาดว่าท้ายสุดแล้วน้ำมันจะอยู่ในระดับ 60 เหรียญปลายๆ ในขณะที่พีทีจี จะลงทุนราว 4,500-5,000 ล้านบาท/ปี และ 5ปีข้างหน้าจะลงทุนรวมไปไม่ต่ำกว่า3 หมื่นล้านบาท มุ่งเป็นเป็นบริษัทที่มีแพลทฟอร์มตอบสนองความต้องการของประชาชนทุกครบวงจรด้วย ดูแลลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข” ด้วย MAX SOLUTION ตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันใน5 ปีข้างหน้าจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 60-70 เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรสูงกว่าน้ำมัน” นายพิทักษ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจใหม่ทางพีทีจี วางแผน ครอบคลุมทุกด้าน เช่น ธุรกิจกัญชง-กัญชา จะมีความร่วมมือกับพันธมิตร ในการซื้อผลิตภัณฑ์มาผลิตเป็นสินค้า เครื่องดื่ม ผสมในกาแฟ ชา อาหาร ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์ออกมาในไตรมาส3/64 และจะมีการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ “ร่าเริง” ผสมใบกัญชา ในเร็วๆนี้ โดยจะเปิดจำหน่ายในปั๊มน้ำมันเป็นหลัก ,ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า ก็จะรุกธุรกิจโซลาร์ ทั้งหลังคาปั๊มน้ำมัน,ร่วมมือกับโครงการนำร่องของกองทัพบก ประมาณ 30 เมกะวัตต์ , โครงการ โรงไฟฟ้าขยะชุมชนตั้งเป้าขายไฟฟ้าเข้าระบบ 4.5 เมกะวัตต์ ที่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในส่วนของธุรกิจกาฟ แบรนด์ “พันธุ์ไทย” ตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้า จะมีทั้งหมด 2,000 สาขา ทั้งในประเทศไทยและ กลุ่ม CLMV ซึ่งร้อยละ 70 อยู่ในปั๊มน้ำมันและ ร้อยละ 30 อยู่ในนอกปั๊ม
ในขณะที่ธุรกิจก๊าซแอลพีจีจะมีการขยายเพิ่มมากขึ้น ปี 64 ตั้งเป้าจะมียอดขาย 1.8 แสนตัน เพิ่มจากปี 63ที่มี 9.7 หมื่นตัน โดยรุกทุกตลาด ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วน ยานยต์ต่อครัวเรือน ร้อยละ 80 ต่อ 20 ก็จะเพิ่มเป็น ครึ่งต่อครึ่งใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมโอเลโอ เคมิคอล (Oleo Chemical) จากโครงการ Palm Complex จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ปีนี้จะมีแบรนด์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวความงามออกมา 4-5 ผลิตภัณฑ์ และมีแผนขยายการให้บริการธุรกิจพลังงานทดแทนอื่นๆ เช่น สถานีชารจ์ไฟฟ้าอีวี อีกด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตอยู่ที่ร้อยละ 10-15 รักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 และยังคงเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันภาพรวมต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเติบโตร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบจากปีก่อน และสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันโดยรวมอยู่ที่ 34,837 ล้านลิตร หรือลดลงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ปี 64 พีทีจีตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้โตร้อยละ 8-12 ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาการให้บริการทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) รวมเป็น 3,160 สาขา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสาขารวม 2,850 สถานี เช่น ขยายสาขาปั๊มน้ำมัน จาก 1,888 สาขา เพิ่มเป็น 2,030 สาขา สถานีบริการแก๊ส LPG เพิ่มขึ้นจาก 206 สาขา เป็น 260 สาขา รวมถึงการขยายศูนย์บริการรวม (Touchpoint) ซึ่งเป็นธุรกิจ Non-Oil เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ร้านคอฟฟี่เวิลด์ซึ่งจะมีการรีแบรนด์ใหม่ปีนี้ ร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท (Max Mart) รวมถึงศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs) และอื่นๆ รวมเป็น 870 สาขา จากปี 2563 ที่มีศูนย์บริการรวม 756 สาขา ซึ่งหลักๆ จะเป็นการขยายสาขาของร้านกาแฟพันธุ์ไทย เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบประมาณลงทุนปี 64 รวม 4,000-4,500 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย