CKPower ลงทุนกว่า 1,800 ล้านบาท ซื้อหุ้น‘ไซยะบุรีฯ’ เพิ่ม

default

กรุงเทพฯ 8 มี.ค.- CKPower ลงทุนอีกกว่า 1,800 ล้านบาทซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี เพิ่มอีกร้อยละ 5 ทำให้ถือหุ้นเพิ่มจากร้อยละ 37.50 เป็นร้อยละ 42.50 คาดลงนามซื้อหุ้นดังกล่าวเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้


นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด  (มหาชน) (CKPower) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้เข้าซื้อหุ้นบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ใน สปป.ลาว จำนวน 134,305,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วของ XPCL จากบริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) เป็นจำนวนประมาณ 1,826.55 ล้านบาท โดย CKPower จะนำเสนอมติการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว เข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 22 เมษายนนี้ หลังจากได้รับการอนุมัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ แล้ว บริษัทฯ จะลงนามซื้อหุ้นดังกล่าวให้เสร็จภายในไตรมาสที่  3 ปีนี้

ทั้งนี้ ภายหลังการซื้อหุ้นดังกล่าว จะทำให้ CKPower มีสัดส่วนการถือหุ้นใน XPCL เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.50 เป็นร้อยละ 42.50 ของทุนจดทะเบียนของ XPCL สำหรับ XPCL เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสปป.ลาว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 และได้รับสัมปทานระยะเวลา 31 ปี เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแบบฝายทดน้ำ ใช้โครงสร้างในการยกระดับน้ำขึ้น  โดยไม่มีการผันน้ำออกจากแม่น้ำโขงและไม่มีการกักเก็บน้ำเหมือนเขื่อนที่มีอ่างเก็บน้ำทั่วไป มีปริมาณน้ำไหลเข้าเท่ากับปริมาณไหลออกตลอดเวลา มีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสิ้น 1,285 เมกกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดเฉลี่ยปีละ 7,600 ล้านหน่วย เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จำนวน 1,220 เมกกะวัตต์ ขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนที่เหลืออีก 60 เมกกะวัตต์ ขายให้แก่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว


นายธนวัฒน์กล่าวอีกว่า การเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มในครั้งนี้ CKPower มองเห็นโอกาสในการเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวทั้งในรูปของส่วนแบ่งกำไรในงบกำไรขาดทุนรวมของบริษัท และรายได้เงินปันผลในงบกำไรขาดทุนเฉพาะกิจการของบริษัท นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพของบริษัทฯ ในด้านการแข่งขันและขยายการเติบโตในธุรกิจ Renewable Energy ซึ่งถือเป็นนโยบายการลงทุนที่สำคัญ โดยปัจจุบัน CKPower ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,167 เมกะวัตต์ จาก 3 กลุ่มธุรกิจ ที่บริษัทได้ลงทุน ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังน้ำ จำนวน 1,900 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น 238   เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 29 เมกะวัตต์ และเป็นส่วนของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด 939 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.035 บาท โดยจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง