กรุงเทพฯ 28 ม.ค. – ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ คาดจีดีพีปี 2564 จะเติบโต 3.1%
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) เปิดเผยถึงเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า จีดีพีไทยปี 2564 จะเติบโตร้อยละ 3.1% โดยมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.5 ตลอดทั้งปีนี้ โดยการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยมีปัจจัยการเมืองภายในประเทศและความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ต้องจับตาและปี 2565 คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยจะอยู่ที่ 2.5%
ทั้งนี้คาดหวังว่าการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะเป็นผลบวกต่อภาพรวม รัฐบาลไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนฟรีในเดือนหน้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยคาดว่าจะฉีดวัคซีนให้กับประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือราว 30 ล้านคนภายในปีนี้ โดยจำนวนผู้ได้รับวัคซีนอาจจะมากกว่านั้นเนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนสามารถรองรับความต้องการของผู้ที่มีกำลังซื้อและไม่ต้องการรอวัคซีนจากรัฐบาล
ส่วนกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนตัวลงจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไทยยังอยู่ในสถานะเงินบัญชีดุลสะพัดเกินดุล การส่งออกปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าการค้าการลงทุนทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ แต่ภาพรวมการส่งออกของไทยยังไม่ชัดเจนเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง และการนำเข้าสินค้าเพื่อผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการนำเข้ารวมน่าจะลดลงต่อเนื่องในปี 2564 ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างช้าๆ และบรรยากาศการลงทุนที่ยังไม่คึกคัก
ทั้งนี้เชื่อว่าไทยน่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปีกว่าที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด เนื่องจากสถานการณ์โควิดทั่วโลกยังมีความไม่ชัดเจน ประกอบกับยุทธศาสตร์ของไทยที่มุ่งไปที่ตลาดการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงขึ้น หรือกระจายกลุ่มมากขึ้นจากเดิมที่มุ่งไปที่จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นหลัก นอกจากนี้แรงงานในภาคท่องเที่ยวที่มีทักษะสูงขึ้นและการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นประเด็นที่จะมีการพูดถึงมากขึ้น
ในส่วนของเงินบาทยังคงแข็งค่าสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค แต่ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอของประเทศ โดยปัจจุบันแกว่งตัวอยู่ในระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมุมมองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปอีก คาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 29.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงกลางปีนี้ และอยู่ที่ 29 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ โดย ธปท. น่าจะยังคงกังวลเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งขยับจาก 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 มาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ในขณะที่ธปท. พยายามดูแลค่าเงินบาทมาตลอดระยะเวลาหลายปี
ทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ การเมืองต้องมีความต่อเนื่องซึ่งในระยะกลาง เชื่อว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการลงทุนจากต่างประเทศและการเคลื่อนย้ายการลงทุนมายังประเทศไทยในภาคต่างๆ อาทิเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นตัวแปรสำคัญ
การสานต่อโครงการการลงทุนเมกะโปรเจ็คซึ่งมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยในปี 2563 อาทิเช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศ อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศและแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติมาในประเทศ ทั้งนี้การลงทุนทางตรงจากต่างชาติยังไม่ได้ฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2558 และยังไม่เห็นว่าประเทศไทยได้ประโยชน์ใดชัดเจนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน . – สำนักข่าวไทย