“ศุภชัย” ห่วงไทยเปิดประเทศช้าหรือเร็วเกินไป

กรุงเทพฯ 26 พ.ย. – “ศุภชัย พานิชภักดิ์” อดีตบิ๊ก WTO แสดงความเป็นห่วงประเทศไทย 3 เรื่อง แนะเปิดประเทศให้ถูกจังหวะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ห่วงต่างชาติมองการเมืองไทยเกินจริง และปัญหาความเหลื่อมล้ำ เร่งแก้หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19


นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการการประชุม สหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า ห่วงประเทศไทย 3 เรื่อง คือ การเปิดประเทศจะต้องไม่ช้าหรือเร็วเกินไป โดยอยากจะให้รัฐบาลดำเนินการและทดลองไปเรื่อย ๆ แต่อย่าเปิดเร็ว การเปิดควรเน้นที่ประเทศไทยอ่อนแอมาก เช่น ด้านการลงทุน โดยอาจพิจารณาเปิดประเทศให้กับกลุ่มนักธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนบวกกับการมีมาตรการรักษาสุขอนามัยจะต้องเข้มข้นมากขึ้น ส่วนการว่างงานไม่มากอย่างที่เคยวิตกกันว่าจะตกงานหลายล้านคน  ขณะนี้ตัวเลขผู้ว่างงานอยู่ระดับหลายแสนคนและเริ่มที่จะมากขึ้นแล้ว ดังนั้น โครงการที่ช่วยให้เกิดการจ้างงานต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้น

อันดับ  2 คือ เสถียรภาพทางการเมือง ขณะนี้ต่างประเทศนำเรื่องการเมืองของไทยไปพูดเกินกว่าสถานการณ์จริง ซึ่งที่จริงไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงมีความขัดแย้ง และไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง และอันดับ 3 คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 ปัญหานี้จะต้องจัดให้เป็นเรื่องสำคัญของประเทศที่จะต้องแก้ไข เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ซึ่งประเทศไทยไม่ได้แก้ยากเหมือนกับประเทศอื่น ๆ เพราะว่ารัฐบาลมีการกระจายอำนาจการปกครอง แต่ประสิทธิภาพต้องการปรับให้ดีขึ้นกว่านี้ ส่วนปัญหาคอรัปชั่นของไทยไม่เป็นเรื่องที่ห่วงที่สุด เพราะประเทศไทยมีการปรับปรุงและดีขึ้นในทุก ๆ ปี


สำหรับการกู้เงินของรัฐบาล หากจำเป็นต้องกู้เงินก็กู้ได้ โดยนำมาช่วยเหลือประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำ โดยเฉพาะการใช้เพิ่มทักษะหรือช่วยให้มีโอกาสหางานทำ โดยภาระหนี้ต่อจีดีพีของไทยขณะนี้ยังต่ำกว่าหลายประเทศ โดยประเทศสำคัญในโลกสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่า 100% ของจีดีพี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศมีสัดสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีสูงกว่าไทยมาก สหรัฐสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงถึง 120-130% ต่อจีดีพี ญี่ปุ่น 270% ต่อจีดีพี ของไทยสัดส่วนใกล้ ๆ 50-60% ต่อจีดีพีประเทศ

“วิงวอนคนดูแลเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ พิจารณาว่าบางครั้งในภาวะเศรษฐกิจคับขันอย่างนี้ ถ้าจำเป็นจริง ๆ  งบประมาณปีนี้ รายได้ต่ำกว่ารายจ่ายเป็นแสนล้าน หากจำเป็นกู้เงินก็ต้องกู้ เพื่อรักษาเศรษฐกิจให้มั่นคงอยู่ได้ เพื่อรอเวลาและเมื่อผ่านพ้นจากสถานการณ์โรคระบาดได้ ต่อไปการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะไม่เกี่ยวการนำเงินมาถมอีกต่อไป แต่จะเป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะคนจะเริ่มมีอุปสงค์ต่อสินค้าเองโดยธรรมชาติ” นายศุภชัย กล่าว

สำหรับมาตรการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เห็นใจและเห็นด้วย เพราะส่วนหนึ่งช่วยให้คนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ได้  แต่อยากจะแนะนำว่าจะให้ฟรีตลอดเวลาไม่ได้ อยากให้รัฐบาลวางเงื่อนไขว่าเมื่อได้รับเงินช่วยเหลือแล้วต้องนำไปฝึกทักษะ รวมถึงการใช้เงินด้านการเพิ่มงานวิจัยและพัฒนาใหม่ ๆ เพราะรัฐบาลไม่สามารถแจกเงินไปได้ตลอด เนื่องจากยังจำเป็นต้องนำไปใช้พัฒนาโครงการเป้าหมายที่มีมากขึ้น


ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐหรือเมกะโปรเจกนั้น บางโครงการชะลอด้วยสภาพของโครงการเองอยู่แล้วอย่างโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน แต่โครงการที่จะก่อให้เกิดการสร้างงานเช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งเป็นโครงการจำเป็นและช่วยสร้างงาน โครงการเหล่านี้ จำเป็นต้องทำต่อไป

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีหน้า เชื่อว่าจากการที่เศรษฐกิจและการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้น เช่น สหรัฐแม้จะมีการเปิด ๆ ปิดๆ ประเทศ แต่การส่งออกของไทยไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น เพราะเป็นการนำเข้าทดแทนการนำเข้าจากจีน ในปีหน้าสิ่งที่ทรุดตัวลงไปในปีนี้ แต่ผลพวงจากการที่ประเทศไทยรักษาคนไทยให้ถูกกระทบน้อยที่สุด ปีหน้าก็จะโตขึ้นมาได้จากสิ่งไม่ได้ใช้กลับมาใช้เต็มที่ แต่หลายประเทศประชาชนเสียชีวิตไปกว่าจะสร้างคนขึ้นมาใช้เวลานาน

นายศุภชัยยังห่วงปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 80%    ของจีดีพี เพราะโครงสร้างหนี้เกิดจากคนอายุน้อยและสะสมไปจนเกษียณอายุ ซึ่งเกิดจากการฟุ่มเฟือยบางสิ่งบางอย่าง ใช้ของบางอย่างหรือมือถือเกินไปหรือไม่ จึงน่าจะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9

สำหรับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า  ระยะหลังปรับลดดอกเบี้ยนโยบายไม่เห็นด้วย เพราะมองว่านโยบายดอกเบี้ยต่ำไม่ได้ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นบทลงโทษคนออมเงิน ดังนั้น อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งเสริมการออมมากกว่าส่งเสริมการกู้เงินไปใช้ การมีเงินออมมากขึ้นจะเป็นอานิสงค์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ได้

ด้านเงินบาทที่ผู้ส่งออกต้องการให้อ่อนค่าลง เป็นอีกสิ่งนายศุภชัยเห็นต่าง โดยระบุว่าเงินบาทควรมีเสถียรภาพ ที่ผ่านมาช่วงประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมส่งออก เงินบาทอ่อนค่าเป็นสิ่งจำเป็นจริง จึงได้ผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันเงินบาทเคลื่อนไหวลักษณะลอยตัวสอดคล้องกับเงินเข้าออกประเทศไม่มีผู้กำหนด หากรัฐบาลหรือ ธปท.เข้าไปทำให้เงินบาทอ่อนค่าไม่เห็นด้วย 100% เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีบางปีเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปรากฏว่าการส่งออกก็ไม่ได้ดีขึ้น ขณะที่บางปีเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ในระดับ 29-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่การส่งออกกลับดีเป็นปกติ เพราะการส่งออกขึ้นกับความต้องการของเศรษฐกิจโลก อีกส่วน คือ หากสินค้าไทยตรงกับความต้องการก็จะขายได้ดี และหากมีการเชื่อมโยงตลาดใหม่ก็จะสามารถขยายตลาดได้ ดังนั้น การระบุว่าเงินบาทอ่อนค่า-แข็งค่าจะช่วยการส่งออก การกำหนดนโยบายอย่างนี้มันง่ายเกินไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]