กรุงเทพฯ 26 พ.ย. – ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เผยผลสำรวจความคิดเห็นจากกองทุนชั้นนำของโลก 300 แห่ง พบให้ความสำคัญการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ที่ยูเอ็นกำหนดไว้ในปี 2573 แนะเอกชนไทยและรัฐบาลร่วมมือผลักดันให้เกิดการลงทุนที่ยั่งยืน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่วางไทยเป็นกลยุทธ์การลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นายพลากร หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยแบบสำรวจความคิดเห็นกองทุนชั้นนำของโลก 300 แห่ง ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมกันมากกว่า 50 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถึงลักษณะการลงทุนของกองทุน พบว่า เกือบสองในสาม หรือ ประมาณ 64% ของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการลงทุนอยู่ในตลาดพัฒนาแล้วในภูมิภาคยุโรป และอเมริกาเหนือ ส่วนภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีตลาดพัฒนาแล้วรวมอยู่ด้วยหลายแห่ง มีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 22% และที่เหลือลงทุนอยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้
โดยนายพลากร กล่าวว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความยั่งยืนซึ่งกำลังเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น โดย 81% ของกองทุนเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล แต่มีเพียง 13% ของสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนเท่านั้นที่มีความเชื่อมโยงกับ SDGs ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดไว้ในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้ลงทุนในตลาดเกิดใหม่อาเซียนอยู่แล้ว มีมุมมองที่เป็นบวกต่อภูมิภาคนี้ โดย 39% คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้า เป็นไปในทิศทางเดียวกับ 68% ของบริษัทขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก ที่คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคนี้ โดย 45% ของผู้จัดการกองทุนที่มีการเติบโตสูง วางประเทศไทยในกลยุทธ์การลงทุนในตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสำรวจมองว่าปัจจัย 5 ข้อที่จะทำให้การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย SDGs มีมากขึ้น คือ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ, สิทธิประโยชน์ทางภาษี, หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่สูงกว่า, ข้อมูลที่ชัดเจนกว่าในปัจจุบันในด้านการวัดผลกระทบ และความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนรายย่อย
ดังนั้น การจะบรรลุเป้าหมาย SDGs ตามที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2573 จำเป็นต้องมีการลงทุนจากภาคเอกชนมูลค่ามหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผนวกกับการลงทุนของภาครัฐและพันธกิจร่วมกันที่จะปิดช่องว่างนี้ และก้าวไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน .- สำนักข่าวไทย