กรุงเทพฯ 18 พ.ย. – บีโอไออนุมัติลงทุนโรงงานผลิตพืชโครงการแรกหลังเปิดประเภทกิจการใหม่ ประเดิมด้วยบริษัท วี ที แหนมเนือง 2017 มูลค่ากว่า 90 ล้านบาท
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการใหม่โรงงานผลิตพืชของบริษัท วี ที แหนมเนือง 2017 จำกัด มูลค่าลงทุน 94 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อเพาะปลูกผักโดยใช้เมล็ดพันธุ์ในประเทศตามคำแนะนำของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีกำลังการผลิตปีละประมาณ 360 ตัน ถือเป็นโครงการแรกหลังเปิดประเภทกิจการใหม่
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 คณะกรรมการบีโอไอมีมติให้เพิ่มประเภทกิจการโรงงานผลิตพืช อีกหนึ่งประเภท เพื่อยกระดับและสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคเกษตรไทยให้ก้าวสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ หรือสมาร์ท ฟาร์มมิ่ง ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัย โดยโรงงานผลิตพืชของวี ที แหนมเนืองแห่งนี้ เป็นโครงการปลูกพืชผักคุณภาพ ไร้สารเคมีตกค้าง โดยปลูกในระบบปิดที่มีระบบควบคุมคุณภาพ ทั้งสภาพแวดล้อมด้านกายภาพ เช่น ความเข้มของแสง อุณหภูมิ ความชื้น และสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ำและอากาศสำหรับโครงการโรงงานผลิตพืชของวี ที แหนมเนือง ยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อีกด้วย
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้อนุมัติโครงการลงทุนชุดตรวจวินิจฉัยโรคทาลัสซีเมีย ของบริษัท ยีน เอ็กซ์เซลเลนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเพื่อผลิตชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ในเชิงพาณิชย์ มูลค่าลงทุน 22.53 ล้านบาท มีกำลังการผลิตชุดตรวจปีละประมาณ 50,000 ชุด ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดยืนของไทยในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพในภูมิภาค
บีโอไอ ยังอนุมัติโครงการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการผลิตของเล่น ประเภทดินปั้น โดยโครงการได้นำระบบอัตโนมัติสายพานและแขนกลมาใช้ในกระบวนการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ เช่น การผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกันเพื่อผสมให้เป็นดินน้ำมัน จนถึงขั้นตอนการใส่ลงบรรจุภัณฑ์และบรรจุลงกล่องเพื่อจัดเก็บในคลังสินค้า ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มในการส่งออกสินค้าได้มากขึ้น .-สำนักข่าวไทย